เดิน/ทรงตัวลำบากในคนสูงอายุ (Gait disorders in elderly)

สองในสามของผู้มีอายุเกิน 65 ปีประสบความลำบากในการทำกิจวัตรพื้นฐาน เช่น การลุกขึ้นจากเตียงหรือเก้าอี้ การเดิน การหมุนตัวกลับหลัง รวมถึงการขึ้นลงบันได แม้หลายคนมักมองว่าเป็นความเสื่อมตามวัย แต่ในความเป็นจริงแล้ว “ความเปลี่ยนแปลงตามอายุที่ถือว่าปกติ” มีเพียง 5 เรื่องเท่านั้น และมักพบหลังอายุ 70 ปีขึ้นไป หากเกิดก่อนวัยหรือผิดไปจากนี้ ควรถือว่าเป็นความผิดปกติที่ต้องประเมินเพิ่มเติม

การเปลี่ยนแปลงตามปกติของการเดินเมื่อเข้าสู่วัยชราภาพ
(Normal age-related changes in gait)

ผู้สูงอายุที่ไม่มีโรคประจำตัวใด ๆ อาจพบการเปลี่ยนแปลงของท่าทาง จังหวะการเดิน และการเคลื่อนไหวของข้อ ดังต่อไปนี้

  1. ความเร็วในการเดิน (Gait velocity)
  2. โดยทั่วไป ความเร็วในการเดินจะคงที่จนถึงอายุประมาณ 70 ปี จากนั้นจึงเริ่มลดลงราว 15–20% ทุก ๆ 10 ปี ความเร็วที่ลดลงเป็นตัวชี้วัดอายุขัยที่ค่อนข้างแม่นยำ หากความเร็วเดินยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ โอกาสเสียชีวิตภายใน 10 ปีจะน้อยลง แต่หากอายุยังไม่ถึง 70 ปี กลับเดินช้าลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับตอนวัย 30–40 ปี ควรได้รับการตรวจหาความผิดปกติ

  3. จำนวนก้าวต่อนาที (Cadence)
  4. จำนวนก้าวต่อนาทีมักไม่เปลี่ยนตามอายุ แต่ขึ้นกับความยาวขาและกำลังกล้ามเนื้อ คนตัวสูงมักก้าวยาวและมีจำนวนก้าวต่อนาทีน้อยกว่า ในขณะที่คนรูปร่างเล็กมักก้าวสั้นกว่าและเดินถี่กว่า

    ความเร็วการเดินที่ลดลงในผู้สูงอายุเกิดจาก “ระยะก้าวเท้าที่สั้นลง” ไม่ใช่จำนวนก้าวต่อนาทีที่ลดลง สาเหตุสำคัญคือกล้ามเนื้อน่องอ่อนแรงลง เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ มวลกล้ามเนื้อรวมทั้งต้นขาก็ลดลงด้วย ทำให้ควบคุมความเร็วได้ยากขึ้น

    การบันทึกความเร็วเดินและจำนวนก้าวเมื่อยังแข็งแรงไว้ จะช่วยให้สังเกตความเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ง่ายขึ้น

  5. มีช่วงจังหวะยืนสองขา (Double stance time)
  6. วงจรการเดินของคนประกอบด้วยช่วงที่เท้าเหยียบพื้น (stance time) กับช่วงที่เท้าลอยเหนือพื้น (swing time) เพื่อก้าวต่อไปข้างหน้า stance time ของขาขวาจะเท่ากับ swing time ของขาซ้าย ในจังหวะที่เท้าทั้งสองข้างแตะพื้นพร้อมกัน เรียกว่า double stance time ซึ่งจะเปลี่ยนไปตามความเร็ว เมื่อเดินเร็วช่วงนี้จะสั้น แต่เมื่อเดินช้า เดินระมัดระวัง หรือเดินไม่มั่นคง ช่วงนี้จะยาวขึ้น

    ตามปกติ double stance time คิดเป็นประมาณ 18% ของวงจรการเดิน แต่ในผู้สูงอายุอาจยาวถึง 25–30% เนื่องจากระยะก้าวสั้นลงและต้องการความมั่นคงมากขึ้น

  7. ท่าทางการเดิน (Walking posture)
  8. ท่าทางการเดินของผู้สูงอายุก็อาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ไม่มาก โดยจะเดินแอ่นหลังเล็กน้อย เนื่องจากกล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแรง กล้ามเนื้อกลุ่มที่งอสะโพกตึงตัว และมีการเพิ่มขึ้นของไขมันหน้าท้อง ขณะก้าวปลายเท้าของผู้สูงอายุจะหันออกทางด้านข้างมากกว่าวัยหนุ่มสาวประมาณ 5 องศา เนื่องจากกล้ามเนื้อกลุ่มที่หมุนสะโพกเข้าในอ่อนแรง และต้องทรงตัวไม่ให้ล้มไปทางด้านข้าง และสุดท้าย จังหวะการเหวี่ยงเท้าก้าวไปข้างหน้าก็จะเบากว่าเมื่อก่อน

  9. การเคลื่อนไหวของข้อ (Joint motion)
  10. ปกติการเคลื่อนไหวของข้อสะโพกและข้อเข่าจะยังคงเดิม แต่ข้อเท้าจะกระดกลงได้น้อยกว่าปกติเล็กน้อย ทำให้การถีบตัวออกเดินไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ การเดินเร็ว ๆ จึงเหนื่อยง่ายกว่าคนหนุ่มสาว นอกจากนั้นกระดูกเชิงกรานและกระดูกสันหลังยังลดการขยับในทุก ๆ ด้าน การเอี้ยวตัว การปีนขึ้นที่สูง จึงดูช้าลง และการลงบันไดมักต้องใช้มือจับราวเพื่อให้มั่นคงขึ้น

หากพบการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ก่อนวัยอันควร หรือพบลักษณะผิดปกติอื่น ๆ ควรเข้ารับการประเมินจากแพทย์ เนื่องจากหลายโรคสามารถรักษาให้ดีขึ้นได้แม้ในวัยสูงอายุ



แนวทางการวินิจฉัย

ในการประเมินผู้ป่วยทุกวัย ควรเริ่มจากการตัดปัจจัยที่ไม่ใช่โรคออกก่อน เช่น ภาวะซึมเศร้า ความกลัว นอนหลับไม่เพียงพอ การดื่มสุรา หรือการใช้สารเสพติด รวมถึงภาวะความดันโลหิตต่ำ จากนั้นจึงพิจารณาผลข้างเคียงจากยา เช่น กลุ่มโอปิออยด์ ยากันชัก ยารักษาโรคจิต ยาต้านซึมเศร้า หรือยาที่ทำให้ง่วง

หากไม่มีปัจจัยเหล่านี้แล้ว ผู้ดูแลที่อยู่กับผู้สูงอายุใกล้ชิดมักช่วยให้ข้อมูลสำคัญในการวินิจฉัยได้ โดยสังเกต “อาการร่วม” ซึ่งมักบ่งชี้โรคตามตารางต่อไปนี้

อาการร่วมโรคที่นึกถึง
สูญเสียการทรงตัว เดินส้นเท้าแยกห่างจากกัน (wide-based gait) ใช้มือช่วยในการทรงตัว ไม่สามารถเดินต่อเท้าเป็นเส้นตรงได้ ยืนตัวตรงเท้าชิดกันก็จะล้มรอยโรคที่สมองน้อย (cerebellum)
ปวดหลังมากเวลายืดตัวตรง ดีขึ้นเวลาก้มตัวโพรงไขสันหลังส่วนเอวตีบ (Lumbar spinal stenosis)
ปวดคอ แขนขาแข็งเวลาเดิน กลั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้ รีเฟล็กซ์ไวกระดูกคอเสื่อม (Cervical spondylosis)
มือสั่น ตัวสั่นเวลาเดินEssential tremor
ทำอะไรช้า เคลื่อนไหวช้า ตัวแข็ง สีหน้าไร้อารมณ์ มือสั่นขณะพัก (นิ้วมือขยับเหมือนกำลังปั้นลูกกลอน) หยุดสั่นเวลาใช้มือทำกิจกรรมโรคพาร์กินสัน (Parkinson's disease)
กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ราดบ่อย เดินช้า ก้าวสั้น ๆ บางครั้งหยุดนิ่ง ก้าวเท้าไม่ออก เหมือนมีแม่เหล็กดูดเท้าเอาไว้ หลง ๆ ลืม ๆNormal pressure hydrocephalus
เดินก้าวสั้น ๆ ทรงตัวไม่ดี ล้มบ่อย กลอกลูกตาขึ้นลงได้ไม่สุด เห็นภาพซ้อนเวลาเดินลงบันไดProgressive supranuclear palsy
แน่นหน้าอก ใจสั่น เหนื่อยง่ายเมื่อออกแรงโรคหัวใจ
อัมพาตครึ่งซีก รีเฟล็กซ์ไว พูดไม่ได้หรือไม่เข้าใจภาษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก (Stroke)
หลงลืมมาก จำเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ไม่ได้ ดูแลตัวเองไม่ค่อยได้ ตัดสินใจไม่ได้โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer disease) หรือสมองเสื่อมจากการขาดเลือดเรื้อรัง (Vascular dementia)
เวียนศีรษะ บ้านหมุน ทรงตัวไม่ดี อาจได้ยินเสียงหึ่งในหูตลอดเวลา หรือการได้ยินลดลงความผิดปกติที่อวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน
เวียนศีรษะเวลาหันคอ บางครั้งถึงขั้นเป็นลมCarotid sinus hypersensitivity
มึนงงเวลาลุกขึ้นยืน เห็นดาวหรือหน้ามืดเป็นลมOrthostatic hypotension หรือผลจากยาลดความดันแรงเกินไป
เป็นลมบ่อยโดยไม่วิงเวียนVertebrobasilar insufficiency
ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะมาก่อนหน้านี้ไม่นานมีเลือดคั่งในสมอง (Subdural hematoma)
มีท่าทางการเคลื่อนไหวที่ผิดวิสัยคนทั่วไป โดยที่เจ้าตัวก็บังคับให้หยุดไม่ได้โรค Chorea, Huntinton's disease, ภาวะ Tardive dyskinesia, ใช้ยารักษาโรคทางจิตอยู่
ปวดข้อ ข้อบวมหรือผิดรูป ขยับข้อได้ไม่สุดโรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis)
หลังค่อม ถึงยึดตัวตรงความสูงก็ลดลงจากเดิม เอกซเรย์พบกระดูกจางโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
ต้นแขนต้นขาอ่อนแรง ลุกยืนจากเตียงหรือเก้าอี้เตี้ย ๆ ไม่ได้ ปวดกล้ามเนื้อโรค Polymyositis
ต้นแขนต้นขาอ่อนแรง ลุกยืนจากเตียงหรือเก้าอี้เตี้ย ๆ ไม่ได้ ขี้หนาว หลับมาก ทำอะไรช้า น้ำหนักขึ้น ชีพจรช้าภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์ (Hypothyroidism)
มีก้อนเนื้อแข็งตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเบียดทำลายอวัยวะเดิม จมูกโหว่ ใบหน้าผิดรูป กระดูกหักง่าย ปวดท้อง หลงลืม ชักกระตุก วิกลจริต ลิ้นหัวใจรั่ว หลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง หัวใจล้มเหลว โรคซิฟิลิสระยะที่สาม
แขนขาชา ไม่รู้สึกพยาธิสภาพที่ปลายประสาท (Peripheral neuropathy)
การมองเห็นผิดไปโรคทางตา เช่น ต้อกระจก ต้อหิน จุดรับภาพชัดเสื่อม

หากมีอาการร่วมดังกล่าวข้างต้นควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วย ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีอาการหลายอย่างซ้ำซ้อนกัน แพทย์จึงต้องทราบประวัติการเจ็บป่วยครั้งก่อน ๆ ผลตรวจเลือดหรือเอกซเรย์ที่เคยทำ โรคประจำตัว และยาที่กำลังใช้อยู่ เพื่อการตรวจวินิจฉัยที่รวดเร็วต่อไป



ความจริงพวกเรากำลังเข้าสู่สังคมของผู้สูงอายุ รถราในซอยควรขับช้า ๆ คอยระวังผู้สูงอายุและเด็กที่จำเป็นจะต้องใช้ไหล่ทางแคบ ๆ ร่วมกับรถ ผู้สูงอายุมักพยายามดูแลตัวเองท่ามกลางสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย ดังนั้นน้ำใจและความใจเย็นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรจะมีให้กันอยู่เสมอ

สรุป

การเดินหรือการทรงตัวลำบากในผู้สูงอายุไม่ใช่เพียง “ความชรา” เสมอไป แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ถือว่าปกติหลังอายุ 70 ปี แต่หากพบก่อนวัยหรือมีอาการผิดจากแบบแผนที่ควรเป็น ควรได้รับการประเมินจากแพทย์ ปัญหาเหล่านี้อาจสะท้อนโรคที่รักษาได้ ตั้งแต่โรคระบบประสาท กล้ามเนื้อ กระดูกสันหลัง จนถึงโรคหัวใจและสมอง การสังเกตท่าทางเดิน ระยะก้าว ความเร็ว รวมถึงอาการร่วมอื่น ๆ เป็นกุญแจสำคัญในการชี้สาเหตุอย่างแม่นยำ การวินิจฉัยและรักษาเร็วจะช่วยลดการล้ม เพิ่มคุณภาพชีวิต และช่วยให้ผู้สูงอายุคงความเป็นอิสระได้นานที่สุด