แมกนีเซียมในเลือดต่ำ (Hypomagnesemia)
แมกนีเซียม (Mg) เป็นธาตุอนุภาคบวกที่มีมากเป็นอันดับสองในเซลล์ และอันดับสี่ของร่างกายทั้งหมด ร้อยละ 50 เป็นองค์ประกอบในกระดูก ที่เหลืออยู่ในเซลล์ ช่วยให้เอนไซม์ต่าง ๆ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นตัวกระตุ้นการสร้างพลังงานจากฟอสเฟต การสร้างโปรตีน การสร้างดีเอ็นเอ การสลายกลูโคสจากเซลล์ และการหายใจระดับไมโตคอนเดรีย มีเพียงร้อยละ 1 เท่านั้นที่อยู่ในเลือด ดังนั้นระดับแมกนีเซียมในเลือดจึงไม่สะท้อนปริมาณแมกนีเซียมทั้งหมดในร่างกายได้ดีนัก เพราะการแลกเปลี่ยนระหว่างในเซลล์/กระดูกกับในเลือดเกิดขึ้นค่อนข้างช้า
แมกนีเซียมในเลือดร้อยละ 70 เป็นไอออนอิสระ (Ionized magnesium, iMg) ทำหน้าที่ร่วมกับแคลเซียมและโพแทสเซียมในการหดตัวของกล้ามเนื้อ และช่วยควบคุมความดันโลหิตไม่ให้สูงเกินไป ร้อยละ 20 จับกับโปรตีน อีกร้อยละ 10 จับกับฟอสเฟต ซิเตรต หรือออกซาเลต สัดส่วนของ iMg จึงอาจขึ้น-ลงได้คล้ายแคลเซียมอิสระ ขึ้นกับระดับโปรตีนและสารประกอบในเลือด
การคำนวณปรับค่า iMg ตามระดับโปรตีนหรือภาวะกรด-ด่างไม่นิยมใช้ในทางคลินิก เนื่องจากแมกนีเซียมที่จับกับโปรตีนมีเพียง 20% การเปลี่ยนแปลงของโปรตีนจึงไม่ส่งผลต่อ iMg มากนัก อีกทั้งภาวะเลือดเป็นกรดแม้จะเพิ่ม iMg แต่ก็ทำให้ไตขับแมกนีเซียมออกเพิ่มขึ้น ทำให้ระดับ iMg จริงมักใกล้เคียงเดิม
สมดุลแมกนีเซียมในร่างกายไม่ได้ขึ้นกับฮอร์โมน เอ็นไซม์ หรือวิตามินตัวใด แต่ขึ้นกับอาหารที่รับประทานเข้าไปบวกกับความสามารถของไตในการขับทิ้ง อาหารที่มีแมกนีเซียมสูง ได้แก่ ผักใบเขียว พืชตระกูลถั่ว เมล็ดฟักทอง อโวคาโด ปลา ช็อกโกแลต โยเกิร์ต และกล้วย เมื่อดูดซึมเข้ากระแสเลือดแล้ว ไตจะทำหน้าที่กรองและขับออกตามสมดุลที่ร่างกายต้องการ
ปัจจัยที่ลดการดูดซึมแมกนีเซียมจากลำไส้ เช่น ยาลดกรด ส่วนปัจจัยที่เร่งการขับแมกนีเซียมออกทางไต ได้แก่ ยาขับปัสสาวะ ภาวะเลือดเป็นกรด การขาดโพแทสเซียม และการที่ร่างกายมีระดับแคลเซียมหรือแมกนีเซียมเพียงพอแล้ว (ตามกลไก feedback)
อาการของภาวะแมกนีเซียมต่ำ
ภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำมักทำให้เกิดภาวะโพแทสเซียมและแคลเซียมในเลือดต่ำร่วมด้วย เนื่องจากมีการสูญเสียโพแทสเซียมจากเซลล์ การขาด ATP ในท่อไตส่วนปลายเพิ่มการขับโพแทสเซียม และการที่แมกนีเซียมต่ำทำให้ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานลดลง ส่งผลให้แคลเซียมถูกดึงกลับไปสะสมในกระดูกมากขึ้น ทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดลดลง
อาการที่พบจึงมักเป็นส่วนผสมของภาวะแมกนีเซียมต่ำร่วมกับภาวะแคลเซียมหรือโพแทสเซียมต่ำ ผู้ป่วยอาจมีอาการเหนื่อย กล้ามเนื้ออ่อนแรง ตะคริว มือจีบ เท้าจีบ ชารอบปาก ใจสั่น มือสั่น รีเฟล็กซ์ไว กล้ามเนื้อสั่นพริ้ว (muscle fasciculation) สับสน ชัก ลูกตากระตุก (nystagmus) หรือเห็นภาพหลอน ข้อแตกต่างที่อาจบ่งชี้ว่ามีภาวะแมกนีเซียมต่ำเพียงอย่างเดียว คือ ผู้ป่วยมักมีความดันโลหิตสูงขึ้น
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) มักไม่จำเพาะ อาจคล้ายภาวะโพแทสเซียมต่ำผสมแคลเซียมต่ำ เช่น Nonspecific T-wave changes, U waves, QT interval ยาวขึ้น (Prolonged QT), Repolarization alternans, PVCs จนถึง Ventricular tachycardia, Torsade de pointes และ Ventricular fibrillation หากผู้ป่วยได้รับยา Digitalis จะเกิดพิษได้ง่ายขึ้น
มีบ่อยครั้งที่ผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวแต่เจาะเลือดไม่พบระดับของเกลือแร่ตัวใดผิดปกติเลยแม้จะตรวจเป็น free ions แล้วก็ตาม กรณีเช่นนี้ตำราบอกให้สงสัยภาวะขาดแมกนีเซียมในเซลล์และในกระดูก ซึ่งกว่าแมกนีเซียมในเลือดจะต่ำจนตรวจพบได้อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์
ภาวะขาดแมกนีเซียมเรื้อรังยังเพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกระดูกพรุน นิ่วในไต เบาหวาน ไมเกรน โรคหอบหืด กลุ่มอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome) และภาวะเสียชีวิตเฉียบพลันในนักกีฬา
สาเหตุของการขาดแมกนีเซียม
- ได้รับไม่พอ มักพบในผู้ที่ติดสุรา ขาดอาหาร หรือได้รับอาหารทางหลอดเลือด (Total parenteral nutrition)
- ลำไส้ดูดซึมไม่ได้ เช่น ภาวะลำไส้อักเสบเรื้อรัง, มีท่อเชื่อมลำไส้กับส่วนอื่น (Gastrointestinal fistulas), หรือการผ่าตัดลำไส้ออกไปมาก
- แมกนีเซียมเคลื่อนเข้าเซลล์ พบในกลุ่มอาการ Hungry bone syndrome, กลุ่มอาการขาดสุรา (Alcohol withdrawal syndromes), ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน, การได้รับเลือดที่มีซิเตรต, ภาวะแทรกซ้อนของการรักษา DKA, และภาวะแทรกซ้อนของการให้สารอาหารในผู้ป่วยที่ขาดอาหารมานาน (Refeeding syndrome)
- สูญเสียออกทางไตมาก ซึ่งอาจเกิดจาก...
ความผิดปกติแต่กำเนิด เช่น กลุ่มอาการ Gitelman, Bartter type III, FHHNC/HHN, ADHH/ADRHH, IDH, IRH
- เกิดขึ้นทีหลัง เช่น จากยาขับปัสสาวะ ยาต้านจุลชีพที่มีผลต่อไต ยาเคมีบำบัด ยากดภูมิ ยารักษากรดไหลย้อน แอลกอฮอล์, ภาวะแคลเซียมสูง, ภาวะเลือดเป็นกรดเรื้อรัง (เช่น ไตวาย), Primary hyperaldosteronism, ช่วงฟื้นตัวของ Acute tubular necrosis, Postobstructive diuresis
- โรคของต่อมไร้ท่อ เช่น Hyperthyroidism,
Hyperparathyroidism
แนวทางการวินิจฉัย
จากสาเหตุต่าง ๆ จะเห็นว่าภาวะแมกนีเซียมต่ำมักเกี่ยวข้องกับโรคหลักที่มีอาการเฉพาะอยู่แล้ว หากไม่พบภาวะใดชัดเจน แนะนำตรวจค่า Fractional excretion of magnesium (FEMg) เพื่อประเมินว่ามีการสูญเสียแมกนีเซียมออกทางไตหรือไม่ โดยคำนวณดังนี้
FEMg = [(UrineMg / 0.7 PlasmaMg) / (UrineCr / PlasmaCr)] x 100
เหตุผลที่ใช้ค่า 0.7 คูณ PlasmaMg เพราะเฉพาะ แมกนีเซียมอิสระ (iMg) เท่านั้นที่ถูกกรองผ่านไตได้
หากค่า FEMg > 3% หรือออกมากกว่า 2 mEq (1 mmol หรือ 24 mg) ต่อวัน แสดงว่ามีการสูญเสียแมกนีเซียมออกทางไต ให้มุ่งไปที่โรคไตเป็นหลัก โดยดูปริมาณแคลเซียมออกทางปัสสาวะ (UCa) หากมากผิดปกติแสดงว่าความผิดปกติอยู่ที่ Thick ascending limb of Henle's loop หากน้อยมักเป็นความผิดปกติของท่อไตส่วนปลาย
หาก FEMg < 3% แสดงว่าสาเหตุมักมาจากการได้รับแมกนีเซียมจากอาหารไม่เพียงพอ หรือดูดซึมจากลำไส้ไม่ได้
แนวทางการรักษา
หากผู้ป่วยมีอาการชัก หัวใจเต้นผิดปกติ หรือมีระดับแมกนีเซียม < 1.0 mg/dL จำเป็นต้องให้แมกนีเซียมทางหลอดเลือดทันที โดยใช้ 50% MgSO4 ขนาด 1–2 กรัม (8–16 mEq ของ elemental Mg) ฉีดเข้าเส้นเลือดช้า ๆ ใน 5–10 นาที จากนั้นเมื่ออาการดีขึ้นให้ต่อด้วยขนาด 3–4 กรัม ผสมในสารละลาย 5% D/W ให้หยดต่อเนื่อง 12–24 ชั่วโมง พร้อมติดตามระดับแมกนีเซียมในเลือดเป็นระยะ อาจต้องหยดต่อเนื่องหลายวันเพื่อชดเชยปริมาณที่เข้าสู่เซลล์ เมื่อระดับคงที่ที่ 1.3–1.5 mg/dL จึงเปลี่ยนเป็นยารับประทาน
ในผู้ป่วยไตวายต้องลดขนาดยาลงครึ่งหนึ่ง และติดตามระดับแมกนีเซียมอย่างน้อยวันละครั้ง ภาวะพิษจากแมกนีเซียมพบเมื่อระดับ > 3.5 mg/dL อาการเริ่มจากความดันต่ำ คลื่นไส้ หน้าแดง ต่อมาจะซึม กล้ามเนื้ออ่อนแรง รีเฟล็กซ์ลด หากสูงมากอาจหยุดหายใจจากการทำงานผิดปกติของกระบังลม หรือหัวใจหยุดเต้นได้
การรักษาควรแก้ไขภาวะแคลเซียมหรือโพแทสเซียมต่ำร่วมด้วย แต่ควรระวังความไม่เข้ากันของสารละลาย MgSO4 กับสารละลาย Ca บางชนิด
หากระดับแมกนีเซียมต่ำไม่มากหรือไม่มีอาการ สามารถให้ 5% MgCl2 (0.49 mEq/mL) 15 mL รับประทาน เช้า–เย็น หรือ Magnesium gluconate 0.5–1 กรัม วันละ 3 ครั้ง นาน 3–4 วัน ข้อควรระวังคืออาจทำให้ถ่ายเหลวเพราะเป็นส่วนผสมของยาระบาย และหากเป็นไปได้ควรหยุดยาที่ทำให้ไตขับแมกนีเซียมเพิ่ม (ในผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวที่ไตปกติอาจใช้ Spironolactone ช่วยป้องกันภาวะ Hypomagnesemia แทน)
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาลดกรดกลุ่ม Proton pump inhibitors (PPIs) เนื่องจากลดการดูดซึมแมกนีเซียมในลำไส้
สุดท้าย เมื่อพบสาเหตุแล้วควรรักษาที่สาเหตุนั้นร่วมด้วย
สรุป
แมกนีเซียมเป็นแร่ธาตุจำเป็นที่มีบทบาทกว้างขวางทั้งในระดับเซลล์ ระบบประสาท กล้ามเนื้อ และหัวใจ แม้ระดับในเลือดจะไม่สะท้อนปริมาณรวมในร่างกายได้ดี แต่การขาดแมกนีเซียมสามารถก่อให้เกิดความผิดปกติของเกลือแร่อื่นร่วมด้วยและนำไปสู่อาการที่รุนแรงได้ การวินิจฉัยต้องอาศัยการประเมินจากอาการ สาเหตุพื้นฐาน และค่า FEMg ในบางกรณี ส่วนการรักษาต้องให้แมกนีเซียมทดแทนอย่างเหมาะสม ระมัดระวังภาวะพิษ โดยเฉพาะในผู้ป่วยไตวาย และแก้ไขปัจจัยร่วมที่ทำให้สูญเสียแมกนีเซียม เมื่อการรักษาครอบคลุมทั้งการทดแทนและการแก้ไขสาเหตุ ผู้ป่วยมักตอบสนองดีและฟื้นตัวได้อย่างปลอดภัย
บรรณานุกรม
- R Swaminathan. 2003. "Magnesium Metabolism and its Disorders." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Clin Biochem Rev Vol 24 May 2003 (1 ธันวาคม 2568).
- Tibor Fulop. "Hypomagnesemia." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Medscape (1 ธันวาคม 2568).
- Lewis James L III. "Hypomagnesemia." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD MANUAL. (1 ธันวาคม 2568).
- "Hypomagnesemia." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (1 ธันวาคม 2568).