กลุ่มอาการวัยทอง (Menopausal syndrome)

"วัยทอง" เป็นคำที่คนไทยตั้งขึ้นเพื่อเรียกช่วงเวลาที่ผู้หญิงกำลังก้าวพ้นวัยเจริญพันธุ์เข้าสู่วัยสูงอายุ ช่วงนี้ระดับฮอร์โมนเพศมีการเปลี่ยนแปลงมาก จึงอาจเกิดอาการไม่สบายกายและใจคล้ายวัยรุ่น แต่ในลักษณะตรงกันข้าม

ตามคำจำกัดความของกระทรวงสาธารณสุข "วัยทอง" หมายถึงสตรีอายุ 45-59 ปี ครอบคลุมช่วงปลายของวัยก่อนหมดระดู (Premenopause) วัยใกล้หมดระดู (Perimenopause) และช่วงต้นของวัยหลังหมดระดู (Postmenopause)

  • วัยก่อนหมดระดู (Premenopause): รังไข่ผลิต inhibin ลดลง ทำให้ต่อมใต้สมองขาดการยับยั้งการสร้าง FSH ส่งผลให้ผลิต estrogen มากขึ้นและมีการตกไข่เร็วขึ้น รอบเดือนจึงถี่ขึ้น และอาจมีเลือดออกกะปริดกะปรอยก่อนรอบเดือนจริง
  • วัยใกล้หมดระดู (Perimenopause): รังไข่เสื่อมลง ไข่เหลือน้อยและดื้อต่อ FSH จึงมีการตกไข่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ไม่มี progesterone หลังตกไข่ เหลือเพียง estrogen ส่งผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ (endometrial hyperplasia) อาจมีเลือดออกมาก และมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ช่วงท้ายก่อนหมดประจำเดือนราว 1 ปี รังไข่จะสร้าง estrogen น้อยมากจนไม่สามารถกระตุ้นเยื่อบุโพรงมดลูกได้
  • วัยหลังหมดระดู (Postmenopause): เริ่มนับเมื่อขาดประจำเดือนติดต่อกันครบ 1 ปี โดยทั่วไปอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 51-52 ปี แสดงว่ารังไข่หยุดทำงานถาวรแล้ว

ปัญหาสุขภาพของสตรีวัยทอง

นอกจากปัญหารอบเดือนผิดปกติ สตรีในวัยนี้มักประสบปัญหาสุขภาพสำคัญอีก 5 ด้าน ได้แก่

  1. ปัญหาศูนย์ควบคุมอุณหภูมิทำงานผิดปกติ
  2. เป็นอาการทาง vasomotor หลอดเลือดตามผิวหนังจะขยายตัวเป็นพัก ๆ ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบและเหงื่อออกมาก อาจเป็นช่วงสั้น ๆ เพียงไม่กี่นาที แต่ก็ทำให้รำคาญ ยิ่งบางทีเหงื่อจะออกตอนกลางคืน หรือถ้าหลอดเลือดขยายตัวมาก ๆ ก็อาจมีอาการใจสั่น ปวดศีรษะ

  3. ปัญหาอวัยวะสืบพันธุ์ฝ่อ
  4. เมื่อ estrogen ลดลง ช่องคลอดจะบาง แห้ง ยืดหยุ่นน้อย เจ็บง่ายเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ความต้องการทางเพศลดลง อาจมีกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อน ทำให้กลั้นปัสสาวะลำบาก บางครั้งอาจมีมดลูกหย่อนหรือปูดออกมาเวลาเบ่งอุจจาระ ไอ หรือจาม

  5. ปัญหาด้านจิตใจและอารมณ์
  6. มักเป็นอาการที่ไม่สามารถอธิบายได้จากภาวะพร่อง estrogen ส่วนใหญ่เป็นอาการขี้หงุดหงิด ซึมเศร้า นอนหลับยาก ปวดเมื่อย ไม่มีแรง หลง ๆ ลืม ๆ ฯลฯ

  7. ปัญหาโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
  8. สตรีจะมีมวลกระดูกสูงสุดเมื่ออายุ 30-40 ปี หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง โดยลดลงรวดเร็วที่สุดใน 5 ปีแรกหลังหมดประจำเดือน ทำให้เสี่ยงกระดูกหักง่าย

  9. ปัญหาโรคหัวใจและหลอดเลือด
  10. อุบัติการณ์โรคหัวใจและหลอดเลือดในสตรีวัยหมดระดูเพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า เนื่องจากระดับโคเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ และ LDL สูงขึ้น ขณะที่ HDL ลดลง



แนวทางการวินิจฉัย

อาการในช่วงอายุ 45-59 ปีไม่ได้หมายความว่าเป็นกลุ่มอาการวัยทองเสมอไป โดยเฉพาะอาการรอบเดือนผิดปกติหรืออาการทาง vasomotor และอารมณ์ ยังต้องตรวจหาสาเหตุอื่นควบคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นโรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่ เหตุการณ์กระทบใจ ปัญหาครอบครัว หรือโรคทางร่างกายอื่น ผู้ป่วยควรแจ้งข้อมูลที่สงสัยแก่แพทย์เพื่อช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำยิ่งขึ้น

การวินิจฉัยแยกโรคของอาการ vasomotor ได้แก่

แนวทางการรักษา

หากอาการไม่รุนแรงจนกระทบชีวิตประจำวัน แพทย์อาจยังไม่รักษา เพราะส่วนใหญ่เป็นอาการชั่วคราวที่มักดีขึ้นภายใน 2-5 ปี ปัญหาที่คงอยู่หลังวัยทองคือความเสี่ยงโรคกระดูกพรุนและโรคหัวใจซึ่งสัมพันธ์กับวัยสูงอายุ ส่วนอาการฝ่อของอวัยวะสืบพันธุ์มักเกิดช้าและก้าวหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป สามารถปรับตัวได้หากดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม

หากอาการรุนแรงจนรบกวนการใช้ชีวิต แพทย์จะประเมินว่าจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนชดเชยหรือไม่ และตรวจหาข้อห้ามใช้ก่อน หากไม่เหมาะกับการใช้ฮอร์โมน อาจเลือกวิธีรักษาอื่นแทน

ข้อบ่งชี้ในการใช้ฮอร์โมน ได้แก่

  • รักษาอาการวัยทองที่กระทบการดำเนินชีวิต
  • ป้องกันโรคกระดูกพรุน (ควรตรวจมวลกระดูกก่อน เพราะการใช้ฮอร์โมนนานเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมและมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก)
  • รักษาความผิดปกติของช่องคลอดและระบบทางเดินปัสสาวะจากการขาดฮอร์โมน

ข้อห้ามใช้ฮอร์โมน ได้แก่

  • ไม่แน่ใจว่าตั้งครรภ์หรือไม่
  • มีมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (ซึ่งในระยะแรกต้องตรวจด้วยแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์)
  • มีภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน
  • เป็นโรคตับอักเสบเฉียบพลัน

ผู้หญิงวัยหมดระดูไม่จำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนทุกคน การใช้ฮอร์โมนถือเป็นการแทรกแซงธรรมชาติ จึงควรตัดสินใจด้วยความเข้าใจทั้งประโยชน์และความเสี่ยง ไม่ควรซื้อฮอร์โมนมาใช้เองโดยไม่ผ่านการตรวจประเมินจากแพทย์ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดตีบตันได้ง่าย

สำหรับผู้ที่มีอาการมากแต่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมน แพทย์อาจใช้ยาอื่นแทน เช่น ยาต้านซึมเศร้า, Clonidine (ทั้งชนิดรับประทานและแปะผิวหนัง) หรือ Gabapentin เพื่อบรรเทาอาการร้อนวูบวาบและอาการรบกวนอื่น ๆ

ในรายที่มีมดลูกหย่อนหรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่จากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัดเพื่อแก้ไขความผิดปกติ



หลักการดูแลตัวเองเมื่อเข้าสู่วัยทอง

โดยทั่วไป สตรีวัยทองที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อยสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยใช้หลัก 5 อ. ซึ่งได้แก่

  1. อาหาร
    • เลือกอาหารที่มีแคลเซียมสูง โดยปริมาณที่แนะนำคือวันละ 1,000–1,500 มิลลิกรัม (เช่น นม 1 แก้ว มีประมาณ 200 มิลลิกรัม)
    • ลดอาหารที่เป็นแป้ง น้ำตาล และอาหารไขมันสูง รวมถึงหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์
    • เพิ่มใยอาหารจากผักและผลไม้ให้มากขึ้น ควรให้มีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของอาหารทั้งมื้อ
  2. อารมณ์ ฝึกมองโลกในแง่ดี ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ไม่ฝืนธรรมชาติ ชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่ผ่านมา และพยายามมีอารมณ์ขันอยู่เสมอ เพื่อให้จิตใจสดใสและมั่นคง
  3. ออกกำลังกาย อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที โดยเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตัวเอง เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน
  4. อนามัยเจริญพันธุ์ ตรวจสุขภาพประจำปี คัดกรองมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านมตามคำแนะนำ ตรวจมวลกระดูกเป็นระยะเพื่อประเมินความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน
  5. อนามัยสิ่งแวดล้อม เลือกอยู่อาศัยและทำงานในสถานที่ที่สะอาด อากาศถ่ายเทได้ดี และเอื้อต่อสุขภาพกายใจ

มนุษย์ทุกคนที่ก้าวสู่อายุราว 50 ปี ย่อมเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของชีวิต การดำเนินชีวิตในระยะนี้จึงควรมุ่งสู่ความผ่อนคลาย ดูแลตัวเองอย่างสมดุล และให้เวลากับสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขและคุณค่าทางใจ

สรุป

วัยทองเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านทางธรรมชาติของสตรี ซึ่งเกิดจากความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศและส่งผลต่อหลายระบบในร่างกาย ตั้งแต่อาการร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน ไปจนถึงปัญหาอวัยวะสืบพันธุ์ฝ่อ กระดูกพรุน และความเสี่ยงโรคหัวใจ แม้อาการบางอย่างจะรบกวนชีวิต แต่ส่วนใหญ่สามารถปรับตัวและดูแลได้ด้วยหลัก 5 อ. และการปรึกษาแพทย์เมื่อจำเป็น การรู้เท่าทันสัญญาณของร่างกายและให้คุณค่ากับการดูแลตนเอง จะช่วยให้สตรีทุกคนผ่านช่วงวัยทองได้อย่างสงบและมั่นคง พร้อมก้าวสู่ช่วงชีวิตถัดไปอย่างมีคุณภาพ