ใจสั่น (Palpitations)
อาการใจสั่น คือ ความรู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดปกติ เช่น เต้นเร็ว รัว แรง หรือเหมือนขาดหายเป็นบางจังหวะ ทั้งที่ไม่ได้เกิดจากการออกแรง ความกลัว ความตื่นเต้น หรือความประหม่าอย่างที่พบตามปกติ 
โดยทั่วไป อาการใจสั่นประมาณครึ่งหนึ่ง (53%) มีสาเหตุจากโรคหัวใจหรือโรคทางกายอื่น ๆ ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง (47%) เกิดจากสภาพจิตใจหรือไม่ทราบสาเหตุ กลุ่มที่มีสาเหตุจากระบบหัวใจ มักพบร่วมกับลักษณะดังต่อไปนี้
- ตรวจชีพจรขณะพักพบว่าชีพจรเร็วกว่า 100 ครั้ง/นาที ช้ากว่า 50 ครั้ง/นาที หรือมีจังหวะไม่สม่ำเสมอ
- มองเห็นเส้นเลือดที่ลำคอโป่งและเต้นตามชีพจร
- มีโรคหัวใจอยู่เดิม
- มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก วิงเวียน เป็นลม มือสั่น หรือเหงื่อออก
- มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอด เบาหวาน หรือไตวาย
- จู่ ๆ ก็ใจเต้นเร็วขึ้นมาปุบปับ และเป็นอยู่นานกว่า 5 นาที เปลี่ยนท่าอย่างไรก็ยังรู้สึกเร็วและแรงอยู่อย่างนั้น จนรู้สึกเหนื่อย
- ดื่มหรือใช้สารที่กระตุ้นหัวใจ เช่น กาแฟ สุรา เครื่องดื่มชูกำลัง บุหรี่ สารเสพติด ยาลดความอ้วน ยาขยายหลอดลม ยาแก้หวัดที่มี Pseudoephedrine สมุนไพรบางชนิด หรือฮอร์โมนบางชนิด
- เกิดบ่อย ครั้งละ 2-10 วินาที แม้ไม่มีสิ่งกระตุ้น
- ใจสั่นจนนอนหลับยาก
- เป็นเด็กหรืออายุมากกว่า 40 ปี
- มีคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ
ทั้งนี้ ผู้ที่มีอาการใจสั่นเป็นประจำ ไม่ว่าจะเข้าข่ายลักษณะใดหรือไม่ก็ตาม ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของโรคหัวใจและโรคทางกายอื่น ๆ อย่างน้อยหนึ่งครั้ง
สาเหตุของอาการใจสั่น
- โรคหัวใจ
พยาธิสภาพของหัวใจที่อาจทำให้รู้สึกใจสั่น ได้แก่
- พยาธิสภาพของลิ้นหัวใจ เช่น ลิ้นหัวใจตีบ ลิ้นหัวใจรั่ว หรือลิ้นหัวใจไมตรัลโผล่แลบ (Mitral valve prolapse)
- พยาธิสภาพของกล้ามเนื้อหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัว กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจโต หัวใจล้มเหลว ผนังห้องหัวใจรั่ว หรือเนื้องอกหัวใจ (Atrial myxoma)
- ความผิดปกติของระบบไฟฟ้าหัวใจ เช่น Atrial fibrillation, AVNRT, AV block, Long QT syndrome, Multifocal atrial tachycardia, Supraventricular tachycardia, Sick sinus syndrome, Ventricular tachycardia, WPW syndrome เป็นต้น ความผิดปกติบางชนิดเกิดขึ้นเอง บางชนิดเกิดจากยา หรือภาวะเกลือแร่ในเลือดผิดปกติ
- พยาธิสภาพของเยื่อหุ้มหัวใจ เช่น เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจหดรัด หรือน้ำคั่งในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ
ความผิดปกติของหัวใจเหล่านี้มักตรวจพบได้จากการตรวจร่างกาย การเอกซเรย์ทรวงอก และการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
- โรคหรือภาวะอื่น ๆ
โรคหรือภาวะต่อไปนี้ก็ทำให้เกิดอาการใจสั่นได้ ผู้ป่วยควรเล่าอาการและประวัติให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
- คอพอกเป็นพิษ (Thyrotoxicosis) มีอาการมือสั่น เหงื่อออกมาก ขี้ร้อน หัวใจเต้นเร็ว ต่อมไทรอยด์โต และบางรายมีตาโปน
- โรคปอดเรื้อรัง ที่กระทบต่อการแลกเปลี่ยนออกซิเจน
- ไตวาย
- Pheochromocytoma เนื้องอกต่อมหมวกไต ทำให้มีความดันสูงและชีพจรเต้นเร็วเป็นพัก ๆ
- ผลข้างเคียงของยา เช่น
- แอมเฟตามีน (ในยาลดความอ้วน ยาบ้า ยาม้า)
- โคเคน
- ยาขยายหลอดลม
- ยาแก้คัดจมูก (Pseudoephedrine)
- ยากระตุ้นหัวใจ
- ยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น Amiodarone, Quinidine, Procainamide, Sotalol
- ยาขยายหลอดเลือด
- ยาขับปัสสาวะ
- ฮอร์โมนไทรอยด์
- ยากลุ่ม Anticholinergics
- ยากลุ่ม Antihistamines เช่น Diphenhydramine, Hydroxyzine
- ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Fluoroquinolones และ Macrolides
- ยารักษาโรคจิตประสาทกลุ่ม Phenothiazines และ Tricyclic antidepressants
- ยากลุ่ม Protease inhibitors
- ยากลุ่ม Selective serotonin reuptake inhibitors
- ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น เป็นเบาหวานแล้วมีความไม่สมดุลระหว่างยากับอาหาร โรคตับ โรคพิษสุราเรื้อรัง หรือเนื้องอกที่หลั่งอินซูลิน
- ภาวะเกลือแร่ในเลือดผิดปกติ
- ภาวะโลหิตจาง
- ภาวะอื่น ๆ เช่น ดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มชูกำลังมาก ใช้เสพสารเสพติด สูบบุหรี่จัด ดื่มสุรามาก ไข้สูง เสียเลือด ขาดออกซิเจน หรือตั้งครรภ์
เมื่อสงสัยโรคหรือภาวะเหล่านี้จากประวัติหรือผลตรวจเบื้องต้น แพทย์อาจพิจารณาตรวจเลือดเพิ่มเติมเพื่อยืนยัน
- จากสภาพจิตใจ
อาการใจสั่นจากสภาพจิตใจมักสัมพันธ์กับความเครียด ความเหนื่อยล้า ความวิตกกังวล หรือความกลัว ที่กดทับอยู่ในใจเป็นเวลานานจนรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นผิดปกติ
การตรวจร่างกาย เอกซเรย์ ตรวจเลือด และคลื่นไฟฟ้าหัวใจมักไม่พบความผิดปกติทางกายภาพ และผู้ป่วยจำนวนมากตระหนักได้ในภายหลังว่าอาการมีส่วนเกี่ยวข้องกับสภาพจิตใจของตนเอง
- ไม่ทราบสาเหตุ
ผู้ป่วยที่ไม่เชื่อว่าสาเหตุมาจากจิตใจ รวมทั้งผู้ป่วยที่แม้การตรวจขั้นต้นจะไม่พบความผิดปกติ แต่แพทย์อาจขอทำการตรวจพิเศษเพิ่มในรายที่มีประวัติหรืออาการดังต่อไปนี้
- เพศชายอายุมากกว่า 40 ปี
- มีโรคเรื้อรัง
- มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ
- มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก วิงเวียน หรือเป็นลมร่วมด้วย
การตรวจเพิ่มเติมอาจรวมถึงการบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจตลอด 24–72 ชั่วโมง (Holter monitoring) หรือเครื่องกดบันทึกเมื่อมีอาการ (Event recording) เพื่อจับความผิดปกติที่เกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ นอกจากนี้อาจตรวจอัลตราซาวด์หัวใจ (Echocardiography) เพื่อดูโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ
ในรายที่มีอาการแน่นหน้าอกเวลาออกแรงคล้ายหัวใจขาดเลือด แต่คลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะพักยังปกติ อาจต้องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะเดินสายพาน (Exercise stress test) ซึ่งต้องมีแพทย์โรคหัวใจเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด
แต่แม้จะได้รับการตรวจทุกอย่างเท่าที่จำเป็นแล้ว ผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งก็ยังหาสาเหตุของอาการใจสั่นไม่ได้ ส่วนใหญ่อาการจะหายไปเอง ส่วนน้อยที่มีสาเหตุจริง ๆ ก็จะปรากฏอาการร่วมอย่างอื่นให้เห็นชัดขึ้นในเวลาต่อมา
สรุป
อาการใจสั่นเป็นสัญญาณที่อาจเกี่ยวข้องได้ทั้งจากโรคหัวใจ โรคทางกายอื่น ๆ สารกระตุ้น ผลข้างเคียงของยา สภาวะทางจิตใจ หรืออาจไม่พบสาเหตุแน่ชัด การสังเกตอาการร่วม การประเมินปัจจัยเสี่ยง และการเข้ารับการตรวจโดยแพทย์เป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยแยกอาการที่อันตรายออกจากอาการที่ไม่ร้ายแรง และช่วยให้ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ