ภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ (Pregnancy complications)

การตั้งครรภ์คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงอันงดงามที่ธรรมชาติมอบให้ ในช่วงเวลานี้ ฮอร์โมนที่ผันผวน การขยายตัวของมดลูก และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจนำมาซึ่งความไม่สบายตัวหลายอย่าง ข้อมูลทั้งหมดในหน้านี้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อช่วยให้คุณรับมือความลำบากเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้นได้ด้วยความมั่นใจยิ่งขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

  • ภาวะทั่วไปที่ไม่ใช่โรค ซึ่งพบได้ในหญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่
  • ภาวะคุกคามสุขภาพของแม่และทารก แม้พบไม่บ่อยแต่มีความเสี่ยงสูง
ในหน้านี้จะกล่าวถึงเฉพาะ “ภาวะทั่วไปที่ไม่ใช่โรค” ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายจริง ๆ จะอธิบายไว้ในเมนูย่อยด้านซ้าย

ปัญหาทั่วไปที่พบบ่อยในระหว่างการตั้งครรภ์

แพ้ท้อง

อาการแพ้ท้องพบได้บ่อยในช่วง 3 เดือนแรก เกิดจากระดับฮอร์โมน Human Chorionic Gonadotropin (HCG) ที่สร้างจากรกเพิ่มขึ้น ลักษณะอาการ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ง่วงบ่อย รู้สึกขมปาก หรือไวต่อกลิ่นบางอย่างมากขึ้น บางรายมีอาการตลอดทั้งวันจนรับประทานอาหารได้น้อย น้ำหนักอาจลดเล็กน้อยในช่วงแรก ส่วนใหญ่จะดีขึ้นเองเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 4 มีเพียงประมาณ 10% ที่ยังคงมีอาการ แต่จะลดลงเรื่อย ๆ

การดูแลตนเองเมื่อมีอาการแพ้ท้อง

การใช้ยารักษาอาการแพ้ท้องควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ โดยปกติแพทย์จะไม่แนะนำให้ทานยาอะไรในช่วง 3 เดือนแรกอยู่แล้ว ในรายที่คลื่นไส้อาเจียนมากจนทานไม่ได้เลย แพทย์อาจให้แอดมิตเพื่อให้สารน้ำทางเส้นเลือดและวิตามินเสริม


เป็นลม

หญิงมีครรภ์มักเป็นลมง่ายจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ มักเกิดเวลาลุกเร็วหรือรีบทำกิจกรรม ในระหว่างตั้งครรภ์ ความดันโลหิตมักลดลงเล็กน้อยเพราะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนทำให้หลอดเลือดขยายตัว นอกจากนี้ยังเกิดภาวะโลหิตจางเชิงสัมพัทธ์จากปริมาณพลาสมาที่เพิ่มขึ้น ทำให้เม็ดเลือดแดงดูเจือจางลง ซึ่งเป็นภาวะปกติของคนท้อง โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรก ร่างกายอาจนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ไม่พอจึงเกิดอาการหน้ามืดวิงเวียน

วิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือทำทุกอย่างให้ช้าลง ลุกช้า เดินช้า หากเริ่มมีอาการหน้ามืด มือเย็น หรือได้ยินเสียงดังในหู ควรรีบนั่งหรือนอนทันที

ขี้ร้อน

อาการขี้ร้อนและเหงื่อออกมากเกิดจากเลือดไปเลี้ยงผิวหนังเพิ่มขึ้น เสื้อผ้าที่เหมาะควรเป็นแบบหลวม โปร่ง ระบายอากาศได้ดี และไม่ระคายผิว เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าซาติน ผ้าเรยอง ควรหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าเส้นใยสังเคราะห์อย่างโพลีเอสเตอร์ เพราะทำให้รู้สึกร้อนและอับง่าย

อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย

อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หมดแรง อยากนอน เป็นอาการที่พบบ่อยในหญิงตั้งครรภ์ ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงแรกอาจทำให้รู้สึกคลื่นไส้และอารมณ์แปรปรวน เมื่อครรภ์โตขึ้น น้ำหนักที่เพิ่มและมดลูกที่ดันกระบังลมสูงขึ้น ทำให้ปอดขยายได้น้อยและต้องหายใจเร็วขึ้น ใกล้คลอด ท้องที่ใหญ่ทำให้นอนลำบากและพักผ่อนได้ไม่เต็มที่ โดยรวมแล้ว “อ่อนเพลียในคนท้อง” ถือเป็นเรื่องปกติและไม่เป็นอันตรายต่อทารก

ลักษณะที่ควรไปพบแพทย์

  1. เหนื่อยมากจนลุกแทบไม่ไหว พักแล้วยังไม่ดีขึ้น (อาจมีภาวะโลหิตจางมาก)
  2. มือสั่น หัวใจเต้นเร็วกว่า 100 ครั้งต่อนาทีแม้ตอนพัก (อาจเป็นไทรอยด์เป็นพิษ)
  3. รู้สึกมีไข้ (อาจมีการติดเชื้อ)

ปวดศีรษะ

อาการปวดศีรษะที่สัมพันธ์กับฮอร์โมนพบได้ทั้งก่อนมีประจำเดือน ช่วงตั้งครรภ์ระยะแรก และช่วงต้นของวัยหมดประจำเดือน แม้กลไกยังไม่ชัด แต่พบในผู้หญิงจำนวนมาก หญิงตั้งครรภ์บางรายปวดศีรษะมากตั้งแต่ช่วง 2–3 สัปดาห์แรก แม้ยังไม่รู้ว่าตั้งครรภ์ แล้วอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 4

อย่างไรก็ตาม หากปวดศีรษะในช่วงเดือนที่ 4–7 อาจเกี่ยวข้องกับ ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Pre-eclampsia) ซึ่งมีอาการสำคัญคือ ความดัน ≥ 140/90 mmHg ร่วมกับโปรตีนในปัสสาวะ หน้าแข้งบวม หนังตาบวม ตาพร่ามัว และเหนื่อยง่าย ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องพบแพทย์โดยเร็ว แม้โดยปกติจะตรวจคัดกรองในวันนัดฝากครรภ์ แต่หากมีอาการก่อนวันนัดสามารถไปพบแพทย์ทันที


ปวดหลัง

ระหว่างตั้งครรภ์ เส้นเอ็นในร่างกายจะอ่อนและยืดตัวเพื่อเตรียมสำหรับการคลอด ขณะเดียวกันน้ำหนักของมดลูกที่ถ่วงอยู่ด้านหน้า ทำให้คุณแม่ต้องแอ่นหลังตลอดเวลา จึงหลีกเลี่ยงอาการปวดหลังได้ยาก

วิธีการดูแลหลังช่วงตั้งครรภ์

  1. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
  2. หากจำเป็นต้องถือของ ควรแบ่งน้ำหนักให้แขนทั้งสองข้างรับภาระเท่า ๆ กัน
  3. เวลาจะหยิบของจากพื้น ให้งอเข่า เกร็งหลังให้ตรง แล้วค่อย ๆ ย่อตัวลงไปหยิบ
  4. อย่าเอี้ยวตัวหันไปข้างหลัง ให้ขยับเท้าแล้วหันทั้งตัวแทน
  5. ไม่ควรใส่รองเท้ามีส้น ไม่ว่าจะส้นเตี้ยเท่าใดก็ตาม ควรเลือกรองเท้าพื้นราบ
  6. นั่งทำงานกับโต๊ะที่มีความสูงเหมาะสม เพื่อลดการก้ม
  7. เลือกเก้าอี้พนักตรงและมีหมอนหนุนหลัง
  8. พักผ่อนให้เพียงพอ โดยเฉพาะช่วงใกล้คลอด
  9. ออกกำลังกายในน้ำหรือทำกายบริหารสำหรับคนท้องเป็นครั้งคราว เพื่อให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย (ควรมีผู้ดูแลอยู่ใกล้)

ขาบวม เป็นตะคริว และเส้นเลือดขอด

ขาต้องรับน้ำหนักมากขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะผู้ที่ยังต้องเดินหรือทำงานจนใกล้คลอด จึงพบอาการขาบวม ตะคริว และเส้นเลือดขอดได้บ่อย

อาการขาบวมเกิดจากเลือดและของเหลวคั่งอยู่ที่ขาเมื่อยืนนาน ซึ่งควรหลีกเลี่ยง คุณแม่ควรหาเวลานั่งยกขาให้ขนานกับพื้น หรือหนุนข้อเท้าด้วยหมอนเวลานอน อาการบวมจะมีความสำคัญเมื่อลามไปที่ใบหน้าและมือ ควรไปวัดความดันโลหิต หากสูงถึง 140/90 mmHg ควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะครรภ์เป็นพิษ โดยอาการอื่นได้แก่ ปวดศีรษะรุนแรง ตาพร่ามัว อาเจียน หรือปวดใต้ชายโครง

ตะคริวที่ขายังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่มักสัมพันธ์กับการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป การอยู่นิ่งนาน ภาวะขาดน้ำ หรือขาดเกลือแร่ มักเป็นเวลากลางคืน เมื่อเป็นตะคริวให้เหยียดกล้ามเนื้อและนวดเบา ๆ การสวมถุงเท้าให้อุ่นอาจช่วยป้องกันได้ ระหว่างวันควรบริหารเท้าและดื่มน้ำมากขึ้น หากเป็นบ่อยควรปรึกษาแพทย์

เส้นเลือดขอดเกิดจากการที่หลอดเลือดดำส่งเลือดกลับหัวใจได้ไม่ทัน เห็นเป็นลักษณะโป่งนูนหรือคดเคี้ยวที่ผิวหนังบริเวณน่อง มักสัมพันธ์กับการยืนนาน นั่งไขว่ห้าง เดินมาก หรือยกของหนัก อาการส่วนใหญ่ดีขึ้นเองหลังคลอด ระหว่างนั้นอาจสวมถุงน่องพยุงกล้ามเนื้อ นอนยกขาสูง และว่ายน้ำเพื่อให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

ท้องอืด อาหารไม่ย่อย

สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและแรงกดของมดลูกที่เบียดกระเพาะอาหารในไตรมาสสุดท้าย บางรายอาจมีอาการกรดไหลย้อนหลังทานอาหารอิ่มมาก ๆ ควรรับประทานอาหารมื้อเล็กแต่บ่อยขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารมัน และไม่ควรเอนหรือนอนทันทีหลังอาหาร ควรรออย่างน้อย 1–2 ชั่วโมง หากอาการมากอาจใช้ยาลดกรด (antacids) แต่ไม่ควรใช้ยาขับลมประเภท M. Carminative หรือ “ยาธาตุน้ำแดง” เนื่องจากมีแอลกอฮอล์สูงถึง 8.8%

ท้องผูก

อาการท้องผูกพบได้ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์จากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนและอาการแพ้ท้อง ส่วนใหญ่ไม่รุนแรง การรับประทานผัก ผลไม้ และดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยได้

ยาบำรุงธาตุเหล็กอาจทำให้ท้องผูกหรืออุจจาระสีคล้ำ หากรบกวนมากอาจงดชั่วคราวแล้วเพิ่มอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น เนื้อสัตว์ และเลือดต้มสุก พร้อมรับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซี เช่น ส้ม เพื่อช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก ควรหลีกเลี่ยงชาและกาแฟเพราะรบกวนการดูดซึม


ปัสสาวะบ่อยและเล็ด

หญิงตั้งครรภ์มักปัสสาวะบ่อย หรือมีปัสสาวะเล็ดเวลาไอ จาม หรือหัวเราะ เนื่องจากมดลูกกดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กักน้ำได้น้อยลง ควรเข้าห้องน้ำก่อนออกจากบ้าน อาจกำหนดเวลาเข้าห้องน้ำทุก 2 ชั่วโมง งดชา–กาแฟซึ่งมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ และไม่ควรดื่มน้ำมากก่อนนอน

อาการที่ควรพบแพทย์ ได้แก่ ปัสสาวะแสบขัด ปวดแสบที่ท่อปัสสาวะ ปัสสาวะเป็นสีแดงหรือมีเลือดปน

ตกขาว

ระหว่างตั้งครรภ์ ปริมาณตกขาวจะมากขึ้นเล็กน้อยเพราะปากมดลูกและช่องคลอดนุ่มขึ้น ตกขาวช่วยป้องกันการติดเชื้อที่อาจย้อนขึ้นไปในมดลูก ในช่วงใกล้คลอดตกขาวอาจมีมูกปนเลือดซึ่งเป็นสัญญาณว่าปากมดลูกเริ่มเปิด

อย่างไรก็ตาม หญิงตั้งครรภ์มีโอกาสติดเชื้อราในช่องคลอดมากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสมดุลกรด-ด่าง อาการที่ควรพบแพทย์ ได้แก่ ตกขาวมีกลิ่นเหม็น คันหรือแสบร้อน สีผิดปกติเป็นเหลือง เขียว หรือแดง (มีเลือดปนทั้งที่ยังไม่ใช่ช่วงคลอด)

เป็นฝ้า ผิวคล้ำ ขนดก ท้องลาย

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจทำให้ผิวคล้ำขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหัวนม ไฝ กระ หรือมีเส้นสีเข้มกลางหน้าท้อง รวมถึงขนตามตัวเพิ่มขึ้น อาการเหล่านี้มักหายไปหลังคลอด

หน้าท้องแตกลายเป็นภาวะปกติจากการยืดตัวของผิว ทำให้ชั้นผิวลึกฉีกขาด รอยแตกลายจะเข้มขึ้นตามอายุครรภ์ และค่อย ๆ จางหลังคลอด

สรุป

อาการไม่สบายตัวหลายอย่างในช่วงตั้งครรภ์ เช่น แพ้ท้อง อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หน้ามืด หรือขี้ร้อน ล้วนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนและสรีรวิทยา ซึ่งมักหายไปเองเมื่อครรภ์ดำเนินต่อไป แม้ส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตราย แต่คุณควรสังเกตสัญญาณผิดปกติ เช่น เหนื่อยมากผิดปกติ ปวดศีรษะรุนแรง หรืออาการที่ไม่ดีขึ้นหลังพัก เพื่อเข้ารับการประเมินโดยแพทย์ การดูแลตนเองอย่างเหมาะสม เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ, เลี่ยงการยกของหนัก, ดื่มน้ำมากขึ้น, รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย, และสังเกตอาการผิดปกติ จะช่วยให้ผ่านช่วงตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัยและสบายขึ้น