ไข้ (Pyrexia, Fever)

ไข้ คือ ภาวะที่อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการอักเสบ การติดเชื้อ หรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย ทำหน้าที่เสมือนสัญญาณเตือนว่ามีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น และกระตุ้นให้ระบบต่าง ๆ ระดมกำลังเพื่อฟื้นฟูสมดุลภายใน

โดยปกติอุณหภูมิร่างกายจะอยู่ราว 37 ± 0.5°C ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงตามสภาพอากาศ กิจกรรม หรืออาการไม่สบายเล็กน้อยที่ทำให้รู้สึก “ตัวร้อน” ได้ แต่ในทางการแพทย์จะถือว่ามีไข้เมื่อวัดได้เกิน 100°F หรือ 37.8°C

ร่างกายเด็กตอบสนองต่อไข้ได้รวดเร็วและสูงกว่าในผู้ใหญ่ เด็กบางรายอาจมีอาการชักร่วมด้วย ขณะที่ผู้สูงอายุมักตอบสนองต่อไข้ลดลง จนอาจไม่แสดงไข้แม้มีการติดเชื้อรุนแรง

ชนิดของเครื่องวัดไข้ก็มีผลต่อค่าที่วัดได้ เช่น เครื่องวัดอินฟราเรดแบบวัดทางหู แม้สะดวกและใช้เวลาน้อยแต่มีความคลาดเคลื่อนสูง จึงควรวัดสองครั้งเพื่อหาค่าเฉลี่ย แถบเทปวัดไข้ที่ติดหน้าผากก็อาจคลาดเคลื่อนได้ ส่วนปรอทแก้วถือเป็นมาตรฐานที่แม่นยำกว่า โดยต้องสะบัดปรอทลงก่อนและใช้เวลาวัดประมาณ 2–3 นาที

การวัดไข้ที่รักแร้มักให้ค่าต่ำกว่าการวัดทางปาก และเด็กเล็กที่วัดทางทวารหนักจะได้ค่าที่สูงกว่าจุดอื่น

ไข้เฉียบพลัน (2-14 วัน)

ไข้เฉียบพลันมักเกิดจากโรคติดเชื้อ, โรคที่ทำให้มีการอักเสบ, จากการฉีดวัคซีน, จากยาบางชนิด, จากฮอร์โมน และจากมะเร็งระบบเลือดและต่อมน้ำเหลือง

ในเด็ก โรคติดเชื้อส่วนใหญ่เกิดจากไวรัส ซึ่งไม่มียาฆ่าเชื้อโดยตรง และมักหายได้เองภายใน 7 วัน หากดูแลถูกต้อง เด็กที่ยังทานได้ ยิ้มได้ และเล่นได้ มักไม่มีอาการรุนแรง

ไข้เฉียบพลันในเด็กที่ควรพาไปพบกุมารแพทย์ ได้แก่

  • ไข้ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 3 เดือน
  • ไข้ที่สูงกว่า 39°C ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี
  • ไข้ในเด็กที่มีโรคประจำตัวที่สำคัญ เช่น โรคหัวใจ โรคเลือด เบาหวาน Cystic fibrosis
  • ไข้นานเกิน 3 วันโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือไข้เป็น ๆ หาย ๆ นานเกิน 1 สัปดาห์
  • ไข้ที่มีอาการร่วมดังต่อไปนี้
    • เจ็บคอมากจนไม่ยอมกิน
    • ไอมาก หายใจเร็ว จมูกบาน หรือหายใจมีเสียงดัง
    • ปวดหู
    • ผื่นแดงหรือจ้ำเลือด
    • ซึม เรียกไม่ค่อยตื่น
    • ชัก
    • ปวดหัวมาก
    • ปวดท้องมาก
    • ข้อบวม หรือไม่ยอมขยับข้อ

ในผู้ใหญ่ สาเหตุของไข้มักมาจากเชื้อแบคทีเรียมากขึ้น แม้สามารถรักษาด้วยยาปฏิชีวนะได้ แต่ในระยะแรกหลายครั้งร่างกายสามารถกำจัดเชื้อเองได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา

ไข้เฉียบพลันในผู้ใหญ่ที่ควรจะไปพบแพทย์ ได้แก่

  • มีไข้เกิน 5 วันหลังกลับจากพื้นที่ต่างถิ่น โดยไม่ทราบสาเหตุ (หากกลับจากพื้นที่ที่มีโรคติดต่อระบาด ต้องพบแพทย์ตั้งแต่วันที่เริ่มมีไข้ 1–2 วัน)
  • ไข้ร่วมกับอาการหนาวสั่น
  • ไข้ร่วมกับอาการดังต่อไปนี้
    • เจ็บคอมาก กลืนน้ำลายไม่ได้
    • ไอ เจ็บอก หายใจหอบ
    • ปวดหู
    • ผื่นแดงหรือจ้ำเลือด
    • ซึม เรียกไม่ค่อยตื่น
    • ชัก
    • ปวดหัวมาก
    • ปวดท้อง หรือกดเจ็บเฉพาะที่
    • ปวดเอว อาเจียน ปัสสาวะแสบขัด
    • อาการบ่งบอกการติดเชื้อระบบสืบพันธุ์
    • ปวดข้อหรือข้อบวม

เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย และประเมินอาการร่วมเพื่อหาสาเหตุ เนื่องจากโรคติดเชื้อหลายชนิดมีลำดับการแสดงอาการที่เฉพาะเจาะจง การพบแพทย์เร็วเกินไปอาจยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ชัดเจน แม้ตรวจเลือดก็อาจไม่พบความผิดปกติ ทำให้รักษาแบบเฉพาะเจาะจงไม่ได้และต้องให้เพียงยาบรรเทาตามอาการ ซึ่งอาจบดบังอาการสำคัญบางอย่าง และเพิ่มค่าใช้จ่ายที่ยังไม่จำเป็นในช่วงแรก



การดูแลตัวเองเมื่อเป็นไข้

  1. พักผ่อนให้เพียงพอ หยุดงานหรือให้เด็กหยุดเรียน
  2. ดื่มน้ำบ่อย ๆ ยิ่งถ้ามีท้องเสียยิ่งต้องดื่มน้ำให้มากขึ้น
  3. หากมีน้ำมูก ควรสั่งออก ไม่ควรสูดกลับเข้าไป
  4. วัดไข้เป็นระยะ และทานยาลดไข้เมื่ออุณหภูมิเกิน 38.5°C (ทุก 6 ชั่วโมง) เมื่อไข้ลดแล้วควรอาบน้ำเพื่อช่วยให้ไข้ลงได้นานขึ้น
  5. สำหรับเด็ก ให้ป้อนยาลดไข้พร้อมกับเช็ดตัวเมื่อวัดไข้ได้ > 38°C ยาลดไข้จะออกฤทธิ์หลังทานไปแล้วประมาณครึ่งชั่วโมง การเช็ดตัวด้วยจะช่วยให้ไข้ลงเร็วขึ้น เพราะเด็กบางคนเมื่อไข้สูงอาจชักได้
  6. ทานอาหารอ่อนและอาหารที่ช่วยลดความร้อน เช่น ผัก (แตงกวา แตงไทย ปวยเล้ง ตำลึง รากบัว) ผลไม้ (มะเฟือง ส้มโอ กระเจี๊ยบ) น้ำสมุนไพร (เก๊กฮวย หล่อฮั้งก้วย ใบบัวบก) และหลีกเลี่ยงอาหารทอดชั่วคราว

วิธีการเช็ดตัวเด็ก

  1. ถอดเสื้อผ้าเด็กออกให้หมด
  2. ใช้ผ้าชุบน้ำที่อุณหภูมิห้อง เช็ดตามใบหน้า ลำคอ รักแร้ อก ท้อง ขาหนีบ หลัง และแขนขา
  3. ถ้าอากาศร้อนให้เปิดพัดลมช่วย
  4. รอให้ตัวแห้งก่อนใส่เสื้อผ้าใหม่

เมื่อเด็กเป็นไข้แล้วชัก

  1. จับเด็กให้นอนตะแคงเพื่อป้องกันการสำลัก
  2. ประคองตัวเด็กไม่ให้กระแทกสิ่งของ
  3. ห้ามสอดสิ่งใดเข้าในปากเด็ก เพราะอาจทำให้ฟันหักหรือวัตถุตกลงคอ
  4. ส่วนใหญ่การชักจะหยุดเอง หลังหยุดชักให้คลายเสื้อผ้าและใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ห่อเบา ๆ แล้วรีบนำเด็กไปพบแพทย์


ไข้เรื้อรัง (> 14 วัน)

ไข้ที่เป็นต่อเนื่องนานกว่า 14 วัน มักบ่งบอกว่าอาจไม่ใช่โรคติดเชื้อเฉียบพลันทั่วไป แต่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อเรื้อรัง โรคมะเร็ง โรคทางภูมิคุ้มกัน หรือโรคที่พบได้น้อยอื่น ๆ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าสังเกตอุณหภูมิทุก 6 ชั่วโมง และติดตามรูปแบบการขึ้นลงของไข้จากกราฟอย่างใกล้ชิด

สาเหตุที่พบบ่อยของไข้เรื้อรัง

จากการทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วยที่มีไข้เรื้อรังในหลายประเทศทั่วโลก พบว่ากลุ่มโรคที่เป็นสาเหตุสำคัญสามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ดังนี้

โรคติดเชื้อโรคเนื้องอกโรคภูมิคุ้มกันโรคอื่น ๆ
- วัณโรค
- ฝีในช่องท้อง
- ฝีที่ฟัน
- เยื่อบุหัวใจอักเสบ
- กระดูกอักเสบ
- ไซนัสอักเสบ
- ต่อมลูกหมากอักเสบ
- โรคติดเชื้อ CMV
- โรคติดเชื้อ Epstein-Barr
- โรคติดเชื้อ HIV
- โรค Lyme
- มะเร็งเม็ดเลือดขาว
- มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- มะเร็งไต
- มะเร็งลำไส้ใหญ่
- มะเร็งตับ
- มะเร็งตับอ่อน
- มะเร็งระยะแพร่กระจาย
- กลุ่มอาการ Myelodysplastic
- มะเร็งชนิดซาร์โคมา
- Still's diseases
- Polymyalgia rheumatica
- Temporal arteritis
- ไข้รูห์มาติก
- ลำไส้อักเสบ
- กลุ่มอาการไรเตอร์
- โรค SLE
- โรคที่มี vasculitis อื่น ๆ
- ไข้จากยา
- ไข้ปลอม
- ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์
- โรคแทรกซ้อนจากตับแข็ง
- หลอดเลือดดำอักเสบ
- โรค Sarcoidosis

ยาที่ทำให้เกิดไข้

ไข้จากยาโดยมากจะเริ่มภายใน 7–10 วันหลังเริ่มใช้ยาอย่างต่อเนื่อง และจะทุเลาลงภายใน 48 ชั่วโมงหลังหยุดยา ผู้ป่วยมักไม่ซมมากแม้มีไข้สูง ยาที่มักเป็นสาเหตุของไข้จากยา ได้แก่ (รายการเป็นชื่อสามัญของยา)

ยาต้านจุลชีพกลุ่ม Aminoglycosides, กลุ่ม Cephalosporins, กลุ่ม Macrolides, กลุ่ม Penicillins, กลุ่ม Sulfonamides, Amphotericin B, Clindamycin, Minocycline, Nitrofurantoin, Vancomycin
ยารักษาวัณโรคEthambutol (พบน้อย), Isoniazid, Pyrazinamide, Rifampicin
ยาโรคหัวใจAtropine, Procainamide, Quinidine
ยาลดความดันCaptopril, Hydralazine, Hydrochlorothiazide, Methyldopa, Nifedipine
ยาลดไขมันในเลือดClofibrate
ยารักษาโรคกระเพาะCimetidine, Ranitidine
ยาแก้อาเจียนMeperidine
ยาแก้ปวด ลดการอักเสบAspirin, Ibuprofen, Sulindac
ยารักษาโรคเก๊าท์Allopurinol
ยาต้านการแข็งตัวของเลือดHeparin
ยากันชักกลุ่ม Barbiturates, Carbamazepine, Phenytoin
ยาควบคุมอาการทางจิตกลุ่ม Phenothiazines, กลุ่ม Tricyclic antidepressants
ยากระตุ้นภูมิต้านทานInterferons


แนวทางการวินิจฉัย

การวินิจฉัยไข้เรื้อรังจำเป็นต้องอาศัยประวัติและการตรวจร่างกายอย่างละเอียด ร่วมกับการติดตามรูปแบบไข้ 2–3 วัน พร้อมสอบถามข้อมูลสำคัญ เช่น ประวัติการเดินทาง สถานที่อยู่อาศัย การรักษาที่ได้รับมาก่อน รวมถึงประวัติโรคประจำตัวและยาที่ใช้อยู่

หากตรวจร่างกายไม่พบความผิดปกติที่บ่งชี้ถึงระบบใดเป็นพิเศษ แพทย์จะตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ทรวงอก เพาะเชื้อจากเลือดและปัสสาวะ หากผลออกมาปกติ จำเป็นต้องพิจารณาสาเหตุอื่น เช่น อาการเวียนศีรษะร่วม ซึ่งต้องซักประวัติอย่างละเอียดเกี่ยวกับลักษณะอาการ ช่วงเวลาที่เกิด อาการร่วมทางหูหรือระบบประสาท ประวัติการผ่าตัด อุบัติเหตุ และโรคทางหูที่เคยมี

การตรวจร่างกายจำเป็นต้องประเมินทุกระบบ รวมถึงวัดความดันในท่านอน-นั่ง-ยืน เพื่อคัดกรองภาวะความดันตกตามท่า ตรวจหู ตรวจระบบประสาท ตรวจการทรงตัว และประเมินการกลอกลูกตาในท่าต่าง ๆ หากสงสัยความผิดปกติของหูชั้นใน อาจต้องตรวจเฉพาะทางเพิ่มเติม เช่น audiogram, VNG, ECOG, posturography หรือ evoke response audiometry

ในกรณีที่สงสัยก้อนเนื้องอกของเส้นประสาทการทรงตัว หรือความผิดปกติของสมอง อาจต้องตรวจด้วย CT scan หรือ MRI หากไม่พบสัญญาณบ่งชี้ถึงความผิดปกติในหูหรือสมอง แพทย์จะพิจารณาตรวจเลือดเพื่อดูระดับน้ำตาล เกลือแร่ และความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ซึ่งผู้ป่วยจำนวนมากอาจไม่พบความผิดปกติใด ๆ และเข้าข่าย “ไม่ทราบสาเหตุ” จนกว่าจะมีอาการอื่นปรากฏในอนาคต

สรุป

ไข้เป็นกลไกธรรมชาติที่ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคและการอักเสบ การแยกความรุนแรงของอาการขึ้นกับอายุ สัญญาณอันตราย และอาการร่วมอื่น ๆ หากผู้ป่วยยังดื่มน้ำได้ พักผ่อนได้ และไม่มีอาการผิดปกติร่วม มักดูแลตนเองที่บ้านได้ แต่หากมีปัจจัยเสี่ยงหรืออาการเตือน ควรพบแพทย์เพื่อประเมินอย่างเหมาะสม การรู้จักวิธีดูแลตนเองและสังเกตอาการจะช่วยลดความกังวลและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้อย่างดี

ไข้เรื้อรังคือภาวะที่ต้องประเมินอย่างรอบคอบ เพราะสาเหตุอาจเกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อเรื้อรัง โรคมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกัน หรือแม้กระทั่งผลข้างเคียงจากยา กระบวนการวินิจฉัยต้องอาศัยการสังเกตอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การซักประวัติ ตรวจร่างกาย ไปจนถึงการตรวจพิเศษที่จำเป็น การทำความเข้าใจลักษณะอาการร่วมและปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ช่วยให้แพทย์สามารถระบุสาเหตุได้แม่นยำขึ้น และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป