ภาวะ Respiratory acidosis

ในแต่ละวัน กระบวนการเผาผลาญในร่างกายผลิตกรดในรูปของไฮโดรเจนไอออน (H+), แอมโมเนียมไอออน (NH4+), กรดแลคติก, กรดคีโต ฯลฯ รวมประมาณ 13,000–20,000 mol ต่อวัน อย่างไรก็ตาม ร่างกายมีระบบควบคุมสมดุลกรด–ด่างที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพดังรูป ทางด้านไตทำหน้าที่ดูดกลับหรือขับออกทั้งไฮโดรเจนไอออนและไบคาร์บอเนต ส่วนในกระแสเลือด H+ และ HCO3- สามารถรวมตัวเป็นกรดคาร์บอนิกและแตกตัวเป็นน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งปอดจะขับออกผ่านการหายใจ สมดุลนี้สามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้เพื่อรักษาความเป็นกรด–ด่างให้คงที่

นอกจากไตและปอดแล้ว ยังมีบัฟเฟอร์อื่นในร่างกาย เช่น โปรตีน ฮีโมโกลบิน แอมโมเนีย ฟอสเฟต ซัลเฟต รวมถึงสารน้ำภายใน–ภายนอกเซลล์ที่ช่วยประคองค่า pH

ภาวะปกติ pH ของร่างกายอยู่ที่ 7.35–7.45 โดยคำนวณจาก pH = 6.1 + log10[HCO3 / (0.03 × PaCO2)]
ระดับไบคาร์บอเนตปกติประมาณ 22–26 mEq/L ส่วน PaCO2 อยู่ที่ 35–45 mmHg

นิยามและสาเหตุ

ภาวะ Respiratory acidosis คือภาวะที่เลือดเป็นกรดจากการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ (PaCO2 > 45 mmHg) หรือที่เรียกว่า Hypercapnia โดยแบ่งสาเหตุออกเป็น 3 กลไกหลัก

  1. ระบบหายใจทำงานผิดปกติ เช่น
    • ศูนย์ควบคุมการหายใจในสมองถูกกดจากก้อนในสมอง บาดเจ็บที่ศีรษะ หรือยากดการหายใจ
    • โรคหรือความผิดปกติของทรวงอก–ปอด เช่น ทรวงอกผิดรูป ปอดบวม น้ำท่วมปอด ปอดแตก หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
    • ทางเดินหายใจตีบหรืออุดตัน เช่น หอบหืด หรือสำลักสิ่งแปลกปลอม
    • กล้ามเนื้ออ่อนแรงจนไม่สามารถหายใจได้เพียงพอ
    • เครื่องช่วยหายใจตั้งค่าต่ำเกินไป

  2. ร่างกายผลิตคาร์บอนไดออกไซด์มากผิดปกติ พบในภาวะต่าง ๆ เช่น
    • ภาวะอุณหภูมิสูงรุนแรง (Malignant hyperthermia)
    • ภาวะไทรอยด์เป็นพิษรุนแรง (Thyroid storm)
    • เนื้องอกต่อมหมวกไตชนิด Pheochromocytoma
    • ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดช่วงแรก
    • ตับวาย

  3. สูดอากาศที่มีคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่าปกติ เช่น นอนคลุมโปง หายใจในถุง อยู่ในห้องอับไม่ระบายอากาศ หรืออยู่ในบรรยากาศที่มี CO2 สูง


ผลของภาวะ Respiratory acidosis

ร่างกายมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงจึงแบ่งเป็น 2 ระยะ

ช่วง 1-3 วันแรก (Acute respiratory acidosis)

คาร์บอนไดออกไซด์ละลายในไขมันได้ดี จึงซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์และกดกระบวนการเมตาบอลิซึมภายในเซลล์ได้ ศูนย์การหายใจในสมองและ peripheral chemoreceptors (ถ้าไม่ถูกกด) จะกระตุ้นให้หายใจเร็วขึ้นเพื่อขับ CO2 ส่วนหัวใจเต้นเร็วขึ้นและหลอดเลือดส่วนปลายขยายตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองเพิ่มขึ้น ความดันในกะโหลกจึงอาจสูงขึ้น ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ มึนงง สับสน หรือหมดสติ

ช่วงแรกมักพบภาวะขาดออกซิเจนร่วมด้วย ทำให้มีอาการซึมลง หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว และความดันโลหิตลด

เลือดเป็นกรดจะทำให้ระดับ ionized calcium เพิ่มขึ้นเล็กน้อย และทำให้โพแทสเซียมเคลื่อนจากในเซลล์ออกสู่เลือด ทำให้ระดับโพแทสเซียมสูงขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน

ช่วงหลัง 3 วัน (Chronic respiratory acidosis)

ไตจะเพิ่มการดูดกลับ HCO3- และขับ H+ ออก ทำให้ระดับไบคาร์บอเนตสูงขึ้น และค่า pH ค่อย ๆ กลับสู่ปกติ (เห็นผลชัดที่สุดในวันที่ 3–5)

การขับ H+ ทำให้ไตต้องดูด Na+ กลับ แต่ไม่ดูด Cl- ตามมา จึงทำให้ระดับคลอไรด์ในเลือดลดลง

เพื่อขับ H+ อย่างเพียงพอ ไตสร้างแอมโมเนีย (NH3) เพิ่มขึ้น ซึ่งจะรวมกับ H+ กลายเป็น NH4Cl หากตรวจปัสสาวะจะพบ NH4Cl สูงขึ้น

หากการหายใจกลับมาปกติเร็ว ไตอาจยังคงดูด HCO3- อยู่ ทำให้เกิด “Post hypercapnic alkalosis” ชั่วคราว แต่ร่างกายจะค่อย ๆ ปรับจนกลับสู่สมดุลเอง

แนวทางการวินิจฉัย

การวินิจฉัยทำโดยตรวจ Arterial blood gas ซึ่งพบว่า pH < 7.35 และ PaCO2 > 45 mmHg

การแยกระหว่าง Acute และ Chronic respiratory acidosis ทำได้จากการดูการเปลี่ยนแปลงของ pH และ HCO3 โดยไม่ต้องอาศัยประวัติเสมอไป

ในภาวะ Acute respiratory acidosis: PaCO2 เพิ่มขึ้นทุก 10 mmHg → pH ลดลง 0.08 และ HCO3 เพิ่มขึ้น 1 mEq/L

ในภาวะ Chronic respiratory acidosis: PaCO2 เพิ่มขึ้นทุก 10 mmHg → pH ลดลง 0.03 และ HCO3 เพิ่มขึ้น 3.5 mEq/L หากภาวะ respiratory acidosis หายไป ประมาณ 1 สัปดาห์ pH ในเลือดจะกลับมาเป็นปกติ (ยกเว้นไตมีปัญหา)

การเอกซเรย์ทรวงอกและการคำนวณ A-a gradient จาก arterial blood gas จะช่วยแยกสาเหตุจากปอดออกจากสาเหตุอื่น ๆ

หากผู้ป่วยหมดสติและสงสัยโรคทางสมอง เช่น รูม่านตาไม่เท่ากัน ตอบสนองต่อแสงผิดปกติ หรือมีอาการชัก–อ่อนแรงครึ่งซีก ควรตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองเพิ่มเติม



แนวทางการรักษา

Respiratory acidosis เป็นภาวะฉุกเฉิน ต้องช่วยให้การหายใจเพียงพอเป็นอันดับแรก เช่น ให้ออกซิเจน ใส่ท่อช่วยหายใจ หรือให้ยาขยายหลอดลม หากมีหลอดลมตีบ ในผู้ป่วยหมดสติหรือความดันต่ำควรให้สารน้ำพยุงความดัน เมื่ออาการคงที่แล้วจึงซักประวัติและค้นหาสาเหตุเพื่อแก้ไขอย่างตรงจุด

สรุป

Respiratory acidosis คือภาวะเลือดเป็นกรดจากการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดได้จากปัญหาระบบหายใจ การผลิต CO2 มากผิดปกติ หรือการสูดอากาศที่มี CO2 สูง ร่างกายตอบสนองต่างกันในระยะเฉียบพลันและเรื้อรัง โดยปอดและไตมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลกรด–ด่าง การตรวจ ABG เป็นหัวใจของการวินิจฉัย ส่วนการรักษาเน้นการช่วยหายใจให้เพียงพอและค้นหาสาเหตุร่วมด้วย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและฟื้นฟูสมดุลของร่างกายให้กลับสู่ภาวะปกติ

บรรณานุกรม

  1. Christ Nickson. 2020. "Respiratory Acidosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Life in the Fastlane. (7 ธันวาคม 2568).
  2. "Respiratory Acidosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (7 ธันวาคม 2568).
  3. Shivani Patel and Sandeep Sharma. 2020. "Respiratory Acidosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา StatPearls [Internet] (7 ธันวาคม 2568).
  4. Nazir A Lone. 2020. "Respiratory Acidosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Medscape. (7 ธันวาคม 2568).
  5. James L. Lewis, III. 2020. "Respiratory Acidosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual. (7 ธันวาคม 2568).
  6. Brandon Peters. 2020. "An Overview of Respiratory Acidosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Verywellhealth.com. (7 ธันวาคม 2568).