ภาวะ Respiratory alkalosis

ในแต่ละวัน ร่างกายของเราจะเกิดกระบวนการเผาผลาญที่สร้างกรดขึ้นมาในรูปของไฮโดรเจนไอออน (H+), แอมโมเนียมไอออน (NH4+), กรดแลคติก, กรดคีโต เป็นต้น รวมประมาณวันละ 13,000–20,000 mol อย่างไรก็ตาม ร่างกายมีระบบควบคุมสมดุลกรด–ด่างที่มีประสิทธิภาพมากดังรูป ด้านซ้ายเป็นการทำงานของไตที่ช่วยควบคุมการขับหรือดูดกลับไฮโดรเจนไอออนและไบคาร์บอเนต ส่วนในกระแสเลือด ไฮโดรเจนไอออนและไบคาร์บอเนตสามารถรวมกันเป็นกรดคาร์บอนิก ก่อนจะแตกตัวเป็นน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งถูกระบายออกทางปอด กระบวนการนี้เกิดขึ้นไป–กลับอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาสมดุลกรด–ด่าง

นอกจากนี้ยังมีระบบบัฟเฟอร์อื่น ๆ เช่น โปรตีน ฮีโมโกลบิน แอมโมเนีย ฟอสเฟต ซัลเฟต รวมถึงสารน้ำต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ ช่วยเสริมการควบคุมความสมดุลของร่างกาย

โดยปกติ pH ในเลือดจะอยู่ที่ประมาณ 7.35–7.45 คำนวณจากสมการ pH = 6.1 + log10[HCO3/ (0.03 × PaCO2)]
ระดับไบคาร์บอเนตในเลือดอยู่ที่ 22–26 mEq/L และ PaCO2 อยู่ที่ 35–45 mmHg

นิยามและสาเหตุ

ภาวะ Respiratory alkalosis คือภาวะที่เลือดเป็นด่างจากการมีระดับคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่า 35 mmHg (Hypocapnia) ซึ่งเกิดจากการหายใจเร็วเกินไปจนขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกมากเกินความต้องการของร่างกาย ภาวะหายใจเร็วนี้เกิดขึ้นได้จาก 4 กลไกหลักดังภาพ

  1. ศูนย์ควบคุมการหายใจที่สมองทำงานผิดปกติ พบใน
    • ภาวะสมองบาดเจ็บ
    • โรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน
    • อารมณ์ตื่นเต้น กลัว เครียด หรือมีความเจ็บปวดมาก
    • ได้รับยาบางชนิด เช่น salicylate เกินขนาด, analeptics, propanidid
    • ภาวะที่ฮอร์โมนหรือสารเคมีในร่างกายกระตุ้นศูนย์หายใจ เช่น ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในหญิงตั้งครรภ์ ไซโตไคน์ที่เพิ่มขึ้นในภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด หรือสารพิษที่เกิดจากโรคตับแข็ง

  2. ความผิดปกติที่ปอด พบใน
    • ภาวะขาดออกซิเจน เช่น ปอดบวม โรคหืดกำเริบ น้ำท่วมปอด หรืออยู่ในสถานที่อากาศเบาบาง
    • ภาวะ pulmonary embolism

  3. ร่างกายต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้น พบใน
    • มีไข้สูง หรือป่วยหนักในไอซียู
    • หลังภาวะชักใหม่ ๆ เนื่องจากช่วงชักร่างกายไม่ได้หายใจ

  4. เครื่องช่วยหายใจตั้งค่า Minute ventilation (MV) สูงเกินไป พบในช่วงเริ่มใช้เครื่องช่วยหายใจ


ผลของภาวะ Respiratory alkalosis

ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะอยู่ในภาวะ acute เช่น กลุ่มที่เครียดจนเกิดการหายใจหอบมือชา (Hyperventilation syndrome) หรือผู้ที่ขึ้นที่สูงที่อากาศเบาบาง (Altitude hypoxia) ส่วน chronic respiratory alkalosis อาจพบในหญิงตั้งครรภ์หรือผู้ป่วยตับแข็งที่มีท้องมานมาก ซึ่งมักไม่เกิดความผิดปกติชัดเจนเพราะร่างกายสามารถปรับตัวต่อเนื่อง

การแก้ภาวะ Respiratory alkalosis แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ

ช่วง 1-2 วันแรก (Acute respiratory alkalosis)

เมื่อระดับคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงฉับพลัน เลือดจะเป็นด่างมากขึ้น ทำให้ ionized calcium ลดลง และโพแทสเซียมกับฟอสเฟตเคลื่อนเข้าเซลล์ ผู้ป่วยอาจมีอาการมือเท้าชา ปากเป็นเหน็บ นิ้วเกร็งจีบ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจบีบตัวลดลงเล็กน้อย

การที่ PaCO2 ลดลงยังทำให้หลอดเลือดสมองหดตัว เลือดไปเลี้ยงสมองลดลง ผู้ป่วยจึงวิงเวียน หน้ามืด และศูนย์ควบคุมการหายใจถูกกดลง ทำให้หายใจช้าลง คาร์บอนไดออกไซด์จึงค่อย ๆ กลับมาสู่ระดับปกติ อาการมักดีขึ้นภายในเวลาไม่นาน

ช่วง 2 วันถัดจากนั้น (Chronic respiratory alkalosis)

หากการหายใจเร็วเกิดต่อเนื่อง เช่น ศูนย์หายใจถูกทำลายอย่างถาวร หรือมีโรคที่ปอดทำให้แลกเปลี่ยนก๊าซไม่พอ ร่างกายจะแก้ไขโดยไตลดการขับไฮโดรเจนไอออน และเพิ่มการขับไบคาร์บอเนตออกทางปัสสาวะ ส่งผลให้ระดับ HCO3 ลดลง และ pH ค่อย ๆ กลับเข้าสู่ช่วงปกติ

เนื่องจากไตขับ H+ น้อยลง จึงต้องขับ Na+ มากขึ้น คลอไรด์ไอออน (Cl-) จะไหลออกตามโซเดียม ทำให้ระดับ Na และ Cl ในเลือดลดลงตาม

แนวทางการวินิจฉัย

การวินิจฉัย respiratory alkalosis ทำได้จากการตรวจ arterial blood gas ซึ่งพบ pH > 7.45 และ PaCO2 < 35 mmHg หากเกิดจากปัจจัยทางอารมณ์มักไม่จำเป็นต้องตรวจ เพราะอาการจะเป็นช่วงสั้นและพิจารณาจากอัตราการหายใจได้

การแยก acute กับ chronic respiratory alkalosis ทำได้โดยดูการเปลี่ยนแปลงของ pH และ HCO3 จากค่า ABG

ในภาวะ Acute respiratory alkalosis: ทุก ๆ PaCO2 ที่ลดลง 10 mmHg → pH เพิ่มขึ้น 0.08 และ HCO3 ลดลง 2 mEq/L

ในภาวะ Chronic respiratory alkalosis: ทุก ๆ PaCO2 ที่ลดลง 10 mmHg → pH เพิ่มขึ้น 0.03 และ HCO3 ลดลง 5 mEq/L เมื่อสาเหตุหายไปภายในประมาณ 5 วัน pH จะกลับเป็นปกติ (หากไตทำงานปกติ)

นอกจากนี้ การเอกซเรย์ทรวงอกและการคำนวณ A-a gradient จะช่วยแยกสาเหตุที่มาจากปอดออกจากสาเหตุอื่น

ในผู้ป่วยที่มีอาการสงสัยโรคทางสมอง เช่น รูม่านตาไม่เท่ากัน ไม่ตอบสนองต่อแสง มีประวัติชัก หรือมีอ่อนแรงครึ่งซีก ควรทำ CT สมองเพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง



แนวทางการรักษา

ส่วนใหญ่ภาวะ respiratory alkalosis สามารถดีขึ้นเองหลังให้ออกซิเจนผ่านทางจมูกระยะหนึ่ง หากอาการไม่ดีขึ้นจึงพิจารณาตรวจหาสาเหตุจากระบบประสาท ปอด หรือความผิดปกติด้านเมตาบอลิกเพิ่มเติม

สรุป

Respiratory alkalosis คือภาวะที่เลือดเป็นด่างจากระดับคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำเกินไป ส่วนใหญ่เกิดแบบเฉียบพลันจากความเครียด การขึ้นที่สูง หรือภาวะขาดออกซิเจนบางชนิด ตัวร่างกายเองสามารถปรับตัวได้ค่อนข้างดี โดยใน acute จะมีอาการชั่วคราวจากการเปลี่ยนแปลงของแร่ธาตุ ส่วนใน chronic ไตจะช่วยชดเชยจน pH กลับเข้าสู่ภาวะปกติ การวินิจฉัยใช้ arterial blood gas เป็นหลัก และการรักษามักเพียงให้ออกซิเจนและแก้สาเหตุเป็นสำคัญ

บรรณานุกรม

  1. Christ Nickson. 2020. "Respiratory Alkalosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Life in the Fastlane. (7 ธันวาคม 2568).
  2. "Respiratory Alkalosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (7 ธันวาคม 2568).
  3. Joshua E. Brinkman and Sandeep Sharma. 2020. "Respiratory Alkalosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา StatPearls [Internet] (7 ธันวาคม 2568).
  4. Ranjodh Singh Gill. 2019. "Respiratory Alkalosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Medscape. (7 ธันวาคม 2568).
  5. James L. Lewis, III. 2020. "Respiratory Alkalosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual. (7 ธันวาคม 2568).