ถุงอัณฑะบวม (Scrotal swelling)

ภาวะถุงอัณฑะบวมโดยไม่มีอาการปวดเป็นอาการทางคลินิกที่พบได้ในเด็กและผู้ใหญ่ ลักษณะอาการอาจค่อย ๆ บวม หรือบวมเป็น ๆ หาย ๆ ขึ้นกับสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งมีตั้งแต่ความผิดปกติที่ไม่รุนแรงไปจนถึงโรคที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต การประเมินอย่างเป็นระบบจึงมีความสำคัญเพื่อแยกแยะโรคที่ต้องได้รับการรักษาเร่งด่วนออกจากโรคที่สามารถเฝ้าระวังได้

สาเหตุของถุงอัณฑะบวม

  1. Inguinal hernia (ไส้เลื่อนขาหนีบ)

    ผู้ป่วยมักมีอาการถุงอัณฑะบวมเป็น ๆ หาย ๆ โดยเฉพาะเวลายืน ไอ หรือเบ่ง ลักษณะก้อนมักนิ่ม สามารถขยายขนาดได้เมื่อมีแรงดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น และอาจยุบลงเมื่อผู้ป่วยนอนราบ ในหลายกรณีสามารถดันก้อนกลับเข้าไปในช่องท้องได้ อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถดันกลับได้ ควรระวังภาวะ incarcerated hernia ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดเลือดของลำไส้และต้องได้รับการผ่าตัดโดยเร่งด่วน

  2. Hydrocele (ถุงน้ำข้างอัณฑะ)

    เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ผู้ป่วยมักมีอาการถุงอัณฑะบวมเรียบ ไม่เจ็บ และขนาดค่อนข้างคงที่ การตรวจร่างกายที่ช่วยในการวินิจฉัยคือการส่องไฟผ่านก้อน ซึ่งจะพบว่าแสงสามารถผ่านได้ (transillumination positive) บ่งชี้ว่าภายในเป็นของเหลวมากกว่าก้อนเนื้อแข็ง

  3. Varicocele (เส้นเลือดขอดในถุงอัณฑะ)

    มักพบในวัยหนุ่ม และพบทางด้านซ้ายได้บ่อยกว่าด้านขวา เนื่องจากระบบการไหลกลับของหลอดเลือดดำฝั่งซ้ายมีความยาวและแรงดันสูงกว่า ทำให้เกิดการคั่งของเลือดได้ง่าย ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดหน่วง หรือรู้สึกหนักบริเวณถุงอัณฑะ โดยเฉพาะเมื่อยืนนานหรือออกแรง ภาวะนี้มีความสัมพันธ์กับภาวะมีบุตรยาก

  4. Testicular tumor (เนื้องอกอัณฑะ)

    เนื้องอกอัณฑะส่วนใหญ่เป็นเนื้อร้าย และมักพบในชายวัยหนุ่ม ผู้ป่วยมักมาด้วยก้อนแข็งที่อัณฑะโดยไม่มีอาการปวด ก้อนไม่สามารถส่องไฟผ่านได้ (non-transilluminate) ภาวะนี้ควรได้รับการพิจารณาเป็นมะเร็งอัณฑะไว้ก่อนเสมอ และต้องส่งต่อเพื่อการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมโดยไม่ล่าช้า

  5. Leukemia / Lymphoma infiltration (การแทรกซึมของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือด)

    อาจพบอัณฑะโตทั้งสองข้าง ลักษณะแข็ง และมักมีอาการทางระบบอื่นร่วม เช่น ซีด เหนื่อยง่าย หรือมีต่อมน้ำเหลืองโต ภาวะนี้พบได้บ่อยในเด็ก และอาจเป็นสัญญาณของการกำเริบหรือการกระจายของโรคมะเร็งเม็ดเลือด

  6. Idiopathic scrotal edema (ถุงอัณฑะบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ)

    มักพบเป็นการบวมแดงของถุงอัณฑะโดยไม่มีอาการปวด ไม่พบความผิดปกติชัดเจนจากการตรวจเพิ่มเติม ภาวะนี้มักมีการดำเนินโรคที่ไม่รุนแรง และสามารถหายได้เอง การรักษาส่วนใหญ่เป็นการดูแลแบบประคับประคอง



แนวทางการวินิจฉัย

การวินิจฉัยภาวะถุงอัณฑะบวมควรเริ่มจากการซักประวัติอย่างละเอียด โดยให้ความสำคัญกับระยะเวลาที่เริ่มมีอาการ การเปลี่ยนแปลงของขนาด รวมถึงอาการร่วมอื่น ๆ จากนั้นจึงทำการตรวจร่างกาย เช่น การคลำก้อน การประเมินความแข็ง และการตรวจ transillumination

การตรวจด้วย ultrasound ถุงอัณฑะ ถือเป็นการตรวจหลัก เนื่องจากให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างภายในได้ชัดเจน หากต้องการประเมินการไหลเวียนเลือดเพิ่มเติม สามารถใช้ Doppler ultrasound ร่วมด้วย ในกรณีที่สงสัยเนื้องอกหรือโรคมะเร็งเม็ดเลือด อาจจำเป็นต้องตรวจเลือด เช่น tumor markers หรือ CBC เพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัย

แนวทางการรักษา

การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุของถุงอัณฑะบวมเป็นหลัก ไส้เลื่อนขาหนีบมักต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไข ขณะที่ hydrocele อาจเลือกเฝ้าระวังหรือผ่าตัดในกรณีที่มีอาการหรือมีขนาดใหญ่ สำหรับ varicocele การรักษาจะพิจารณาเมื่อผู้ป่วยมีอาการรบกวน หรือมีภาวะมีบุตรยากร่วม

ในกรณีของเนื้องอกอัณฑะ จำเป็นต้องผ่าตัดเอาอัณฑะออกและประเมินเพิ่มเติมตามแนวทางมะเร็ง ส่วนการแทรกซึมของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดจะรักษาตามแนวทางของโรคต้นเหตุ ขณะที่ idiopathic scrotal edema มักรักษาแบบประคับประคองและเฝ้าระวังอาการ

สรุป

ถุงอัณฑะบวมโดยไม่มีอาการปวดเป็นอาการที่ไม่ควรมองข้าม แม้ว่าสาเหตุหลายประการจะไม่รุนแรงและสามารถหายได้เอง แต่บางภาวะ เช่น เนื้องอกอัณฑะหรือโรคมะเร็งเม็ดเลือด จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที การตรวจร่างกายอย่างละเอียดร่วมกับการใช้ ultrasound อย่างเหมาะสม จึงเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้อย่างมีประสิทธิภาพ