ชัก (Seizure)
อาการชักเกิดจากการนำไฟฟ้าที่ผิดปกติในสมองชั่วขณะ ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียการรับรู้ เกิดการเกร็งกระตุกของกล้ามเนื้อ บางรายอาจกัดลิ้น ปัสสาวะราด หรือมีพฤติกรรมที่ผิดปกติไปจากเดิม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสมองส่วนที่เกิดความผิดปกติ หลังอาการชัก ผู้ป่วยมักหมดสติครู่หนึ่ง และเมื่อฟื้นขึ้นจะยังมึนงง สับสน บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย
สาเหตุของการนำไฟฟ้าผิดปกติมีได้หลายประการ หากตรวจไม่พบสาเหตุ จึงจะวินิจฉัยว่าเป็น “โรคลมชัก” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ลมบ้าหมู” ซึ่งไม่สามารถรักษาที่ต้นเหตุได้โดยตรง จึงต้องใช้ยาควบคุมอาการชัก หรือบางกรณีอาจต้องผ่าตัดสมองเฉพาะจุดที่ผิดปกติ
สาเหตุของอาการชัก
รอยโรคในสมองแทบทุกชนิดสามารถทำให้เกิดอาการชักได้ อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่พบได้บ่อยคือภาวะที่รบกวนการทำงานของสมอง โดยเมื่อรักษาภาวะเหล่านั้นได้ อาการชักก็มักหายไป สาเหตุที่พบบ่อยมีดังนี้
- รอยโรคที่สมอง เช่น เนื้องอก ฝี การติดเชื้อ การอักเสบ เส้นเลือดแตก อุดตัน หรือโป่งพอง พยาธิในสมอง การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ รวมถึงความผิดปกติแต่กำเนิด
- ไข้สูงในเด็กเล็ก (พบในเด็กเล็กเท่านั้น ผู้ใหญ่ไม่เกิดจากสาเหตุนี้)
- ความผิดปกติทางเคมีในเลือด เช่น น้ำตาลสูงหรือต่ำเกินไป ความไม่สมดุลของเกลือแร่ ภาวะยูเรียคั่งจากไตวายเรื้อรัง
- การได้รับสารพิษ เช่น ยาฆ่าแมลง ยาเบื่อหนู โลหะหนัก เป็นต้น
- ยาเกินขนาด เช่น โคเคน แอมเฟตามีน ยาต้านซึมเศร้าบางชนิด Lithium, Theophylline, Isoniazid
- การหยุดสุรากะทันหัน ในผู้ที่ดื่มสุราประจำ ภาวะนี้เรียกว่า Rum fits มักเกิดภายในสัปดาห์แรกหลังหยุดดื่ม แบบที่ปลอดภัยคือค่อย ๆ ลดปริมาณลงทีละครึ่งทุก 1–2 วัน
- ภาวะครรภ์เป็นพิษ พบตั้งแต่ไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ขึ้นไป แพทย์จะตรวจคัดกรองภาวะนี้ในทุกการฝากครรภ์
- ความดันโลหิตสูงขั้นวิกฤติ
- Phenylketonuria โรคเมตาบอลิกแต่กำเนิด ทำให้เกิดอาการชักตั้งแต่ทารก
- โรคลมชัก (Epilepsy) เกิดจากความผิดปกติระดับเซลล์ประสาทซึ่งมองไม่เห็นจากภาพถ่ายสมอง และมักมีประวัติในครอบครัว อาการมักเริ่มในวัยเด็ก
ลักษณะของอาการชัก
อาการชักที่เกิดจากสาเหตุทั่วไปมักเป็นการชักทั้งตัว คือมีการเกร็งและกระตุกของแขน ขา ลำตัว และคอ ใช้เวลาประมาณไม่เกิน 5 นาที พร้อมหมดสติชั่วครู่ แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรค้นหาความผิดปกติในสมองเป็นอันดับแรก
- มีอาการนำก่อนชัก เช่น เห็นแสง ได้ยินเสียงแปลก คลื่นไส้ ปวดศีรษะ หรือมีความรู้สึกผิดปกติล่วงหน้า 1–2 นาที ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการนำหลายวัน เช่น ซึมเศร้า ง่วง หิวผิดปกติ หรือปวดศีรษะข้างเดียว
- เริ่มจากการกระตุกเฉพาะส่วน เช่น นิ้วหัวแม่มือ ไหล่ ขาข้างหนึ่ง หรือมุมปาก โดยยังรู้สึกตัวดี อาการอาจหยุดเองหรือลุกลามจนกลายเป็นชักทั้งตัว
- หมดสติทันทีคล้ายเป็นลม แต่ไม่มีสาเหตุชัดเจน และหมดสตินานกว่า 1 นาที ร่วมกับอาการมึนงงหรืออ่อนแรงหลังฟื้น
- อาการค้าง เช่น อยู่ดี ๆ หยุดนิ่งไป 10–30 วินาที ไม่รู้ตัว ปล่อยของหลุดมือ แม้ไม่มีการกระตุก เหล่านี้มักรบกวนการเรียนและการเข้าสังคม
- พฤติกรรมผิดปกติชั่วคราว เช่น กระพริบตาซ้ำ ๆ เดินวน พูดพึมพำ หรือทำท่าเคี้ยวโดยไม่มีอาหารอยู่ในปาก และเกิดซ้ำโดยไม่รู้ตัว
- การกระตุกแบบเร็วและแรงเป็นครั้ง ๆ ของแขนขาโดยไร้ทิศทาง (myoclonus) ซึ่งอาจทำให้บาดเจ็บได้
การช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีอาการชัก
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ควรตั้งสติ และให้พื้นที่ผู้ป่วยมีอากาศถ่ายเทดี หากเป็นไปได้ให้สังเกตลักษณะการชักตั้งแต่ต้นจนจบและจับเวลาไว้
- จัดท่าผู้ป่วยให้นอนราบ ตะแคงศีรษะข้างหนึ่ง ใช้วัสดุนุ่มรองศีรษะ และจัดแขนขาให้ปลอดภัยไม่กระแทกสิ่งรอบตัว
- ไม่ควรสอดของเข้าในปาก และไม่ควรงัดปากเพราะอาจทำให้ฟันหักและตกลงคอ
- งดป้อนอาหาร น้ำ หรือยาในช่วงที่กำลังชัก เพราะเสี่ยงสำลัก
- หลังชัก ผู้ป่วยมักหลับต่ออีกประมาณ 20–30 นาที หากอยู่ในบ้านและมีไข้ ควรเช็ดตัวก่อนพาไปพบแพทย์
- เมื่อฟื้น ให้สังเกตว่ามีอาการผิดปกติหลงเหลือหรือไม่
- ผู้ป่วยที่รู้สาเหตุของการชักอยู่แล้ว ควรนำยาที่ใช้อยู่ทั้งหมดไปให้แพทย์ตรวจสอบ ส่วนผู้ที่ชักครั้งแรกควรรีบพาไปโรงพยาบาลทันทีเมื่อฟื้นตัว
แนวทางการตรวจรักษา
ผู้ป่วยที่มีอาการชักตามลักษณะในหัวข้อข้างต้น หรือผู้ที่หลังชักยังมีความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น อัมพาตครึ่งซีก ปวดศีรษะรุนแรง คอแข็ง สับสน เห็นภาพซ้อน พูดลำบาก กลืนลำบาก จะต้องได้รับการตรวจระบบประสาทอย่างละเอียด
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการชักทั้งตัวโดยไม่มีความผิดปกติหลงเหลือ แพทย์จะตรวจหาสาเหตุทางเคมี การติดเชื้อ หรือภาวะอื่น ๆ โดยอาศัยข้อมูลจากญาติ เช่น โรคประจำตัว การใช้ยา ลักษณะอาการและความถี่
หากผู้ป่วยใช้ยากันชักอยู่แล้วแต่ยังมีอาการ แพทย์อาจตรวจระดับยาในเลือดเพื่อปรับขนาดยาให้เหมาะสม โดยผลมักออกภายใน 2–3 วัน
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคลมชัก
ผู้ป่วยควรกินยาอย่างสม่ำเสมอ หากลืม สามารถกินทันทีที่นึกได้โดยไม่ต้องเลื่อนมื้อต่อไป หากควบคุมอาการได้ดี 3–5 ปี มักสามารถลดยาและหยุดยาได้
ควรหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น การอดนอน นอนดึก และระมัดระวังการทำกิจกรรมเสี่ยง เช่น ขับรถ ปีนที่สูง ว่ายน้ำคนเดียว หรือขี่จักรยานไกล ๆ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มรักษา หากควบคุมอาการได้ต่อเนื่องราว 6 เดือน ความเสี่ยงเหล่านี้จะลดลง
ควรพกบัตรสุขภาพที่ระบุโรคประจำตัวและผู้ติดต่อฉุกเฉินไว้เสมอ
สรุป
อาการชักเป็นสัญญาณของการนำไฟฟ้าผิดปกติในสมอง ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ตั้งแต่ความผิดปกติในสมอง ภาวะเลือดผิดปกติ ไปจนถึงการได้รับสารพิษหรือยา การสังเกตอาการและให้ข้อมูลอย่างละเอียดแก่แพทย์ช่วยให้วินิจฉัยสาเหตุได้แม่นยำ การดูแลผู้ป่วยขณะชักต้องทำอย่างถูกต้องเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ และผู้ป่วยโรคลมชักจำเป็นต้องกินยาอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น และปรับไลฟ์สไตล์ให้เหมาะสม เมื่อได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่สามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงคนปกติ