เจ็บคอ (Sore throat)
ในหน้านี้จะกล่าวถึงอาการเจ็บคอภายในช่องปาก หากท่านมีอาการปวดลำคอ กรุณาคลิกที่อาการ ปวดคอ
เจ็บคอเป็นอาการที่รู้สึกเจ็บ แสบ แห้ง หรือระคายคอหอยภายในช่องปาก มักเป็นมากขึ้นเมื่อกลืนน้ำลายหรือพูด สาเหตุเกิดจากการอักเสบของผนังคอ ต่อมทอนซิล เพดานอ่อน โคนลิ้น หรือกล่องเสียง ซึ่งอาจมาจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา หรือเกิดจากปัญหาที่ไม่ใช่การติดเชื้อ เช่น ภูมิแพ้ การสูดดมสารพิษ โรคกรดไหลย้อน การใช้เสียงมาก การมีท่อช่วยหายใจหรือสายให้อาหารคาอยู่ในปากเป็นเวลานาน รวมถึงผลจากรังสีรักษา เคมีบำบัด หรือมะเร็งในช่องปาก
ลักษณะของการเจ็บคอจากสาเหตุต่าง ๆ
เจ็บคอจากการติดเชื้อ
การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนมักทำให้มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว และอาจมีอาการหนาวสั่นเมื่อเป็นมาก
การติดเชื้อไวรัส ซึ่งพบมากในเด็กเล็ก มักมีอาการจากระบบอื่นร่วมด้วย เช่น น้ำมูก คัดจมูก ไอ เสียงแหบ ตาแดง ปวดหู หูอื้อ ปวดท้อง ท้องเสีย อาเจียน หรือมีผื่นแดง เมื่ออ้าปากจะพบความผิดปกติไม่มาก เช่น เพดานอ่อนแดงไม่มาก ทอนซิลไม่มีจุดขาว ผนังคอไม่บวม และไม่มีต่อมน้ำเหลืองกดเจ็บ ลักษณะเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะไม่สามารถฆ่าไวรัสได้และอาจทำให้เชื้อในช่องปากเสียสมดุล อาการเจ็บคอมักดีขึ้นเล็กน้อยหลังจิบน้ำภายใน 15–30 นาที และจะหายเองภายใน 1 สัปดาห์ ระหว่างนี้ให้จิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ เด็กสามารถใช้ยาลดไข้หรือยาบรรเทาอาการร่วมได้ อาการโดยรวมควรดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 4–5 วัน หากมีอาการหอบ เหนื่อย ปวดหู ผื่น หรือมีตุ่มน้ำควรพาไปพบแพทย์
การติดเชื้อแบคทีเรีย พบมากในเด็กโตและผู้ใหญ่ อาการเจ็บคอจะมากและรวดเร็ว จิบน้ำไม่ช่วยบรรเทา เมื่ออ้าปากจะพบลักษณะเด่น เช่น เพดานอ่อนแดงจัดและดูยุ่ย มีจุดขาวที่ทอนซิล หรือผนังคอบวมจนดันลิ้นไก่ไปอีกด้านหนึ่ง ลักษณะเช่นนี้จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะแบบกินหรือฉีด และควรพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดหรือเพาะเชื้อในลำคอ
การติดเชื้อรา มักเกิดในผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำ
จะพบคราบฝ้าขาวกระจายบนเพดานอ่อน ลิ้น หรือกระพุ้งแก้ม ซึ่งเขี่ยหรือเช็ดไม่ออก จำเป็นต้องรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อรา และควรตรวจหาสาเหตุพื้นฐานเพิ่มเติมโดยแพทย์
เจ็บคอจากภาวะที่ไม่มีการติดเชื้อ
อาการเจ็บคอแบบไม่ติดเชื้อจะไม่มีไข้ ไม่ปวดเนื้อปวดตัว และมักเป็นเรื้อรัง โดยมีลักษณะเฉพาะของโรคนั้น ๆ เช่น หากเกิดจากภูมิแพ้ จะมีอาการจาม คันจมูก คันตา มีผื่น และเป็นซ้ำเมื่อสัมผัสสารที่แพ้ หากเกิดจากกรดไหลย้อน มักแสบร้อนกลางอก โดยเฉพาะตอนนอนหลังทานอาหารมื้อใหญ่ มีอาการเรอ น้ำเปรี้ยวไหลขึ้นคอ ไอ หรือเสียงแหบเรื้อรัง หากมีมะเร็งในช่องปากจะเห็นก้อนผิดปกติ น้ำหนักลดเร็ว อาจมีไข้ต่ำ ๆ เป็น ๆ หาย ๆ และคลำได้ต่อมน้ำเหลืองโตและแข็ง
แนวทางการดูแลตนเองเมื่อเริ่มเจ็บคอ
วันที่ 1-2
ให้จิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ ทุกครั้งที่รู้สึกคอแห้ง สังเกตว่ามีไข้หรือปวดเมื่อยด้วยหรือไม่ และตรวจคอวันละ 3 ครั้งเพื่อดูว่ามีคอแดงจัด จุดขาวที่ทอนซิล หรือมีต่อมน้ำเหลืองโตและกดเจ็บหรือไม่ ควรพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการต่อไปนี้
- ไข้ตั้งแต่ 39ºC ขึ้นไป
- ปวดเนื้อปวดตัวมาก ลุกแทบไม่ไหว
- เจ็บคอมากจนกลืนน้ำลายลำบาก
- พบคอแดงจัด ทอนซิลมีจุดขาว หรือมีต่อมน้ำเหลืองโตและกดเจ็บ
วันที่ 3-4
ผู้ที่อาการไม่มากจะเริ่มดีขึ้น ส่วนผู้ที่ยังไม่ดีขึ้นให้พักผ่อนและจิบน้ำอุ่นสม่ำเสมอ น้ำขิงผสมน้ำผึ้งและมะนาวช่วยให้คอชุ่มนานขึ้น ให้วัดไข้เมื่อรู้สึกร้อนวูบ ตรวจคอวันละ 3 ครั้งเช่นเดิม หลีกเลี่ยงการนอนในห้องแอร์ ในเด็กที่มีน้ำมูกหรือไอมาก ให้สังเกตอาการหอบ หายใจเร็ว หรือหูอื้อ/ปวดหู ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้
- ไข้ตั้งแต่ 38.5ºC ขึ้นไป
- ปวดเนื้อตัวมาก ลุกแทบไม่ไหว
- เจ็บคอจนกลืนน้ำลายแทบไม่ได้
- อ้าปากลำบาก
- คอแดงจัด ทอนซิลมีจุดขาว หรือมีต่อมน้ำเหลืองโตและกดเจ็บ
- ไอมีเสมหะปนเลือด หรือไอจนเหนื่อย พูดไม่จบประโยค
- ปวดหูหรือหูอื้อ
- มีผื่นหรือมีตุ่มน้ำตามตัว
- ปวดข้อหรือข้อบวม
- ปัสสาวะมีเลือดปน
วันที่ 5-7
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสมักเริ่มดีขึ้นในช่วงนี้ ไข้ลดลง และอาการเฉพาะโรคอาจปรากฏชัดขึ้น เช่น ผื่นหรือตุ่มน้ำ เด็กที่ไอมากจะค่อย ๆ ทุเลา ขณะที่ผู้ติดเชื้อแบคทีเรียมักยังเจ็บคอมาก อาจเริ่มเห็นคอหอยแดงจัดหรือจุดขาวที่ทอนซิล ผู้ที่ยังเจ็บคอจนถึงวันที่ 5 ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด ไม่ว่าจะมีไข้หรือไม่
วันที่ 8-14
หากอาการเจ็บคอยังอยู่หลัง 1 สัปดาห์มักไม่ใช่การติดเชื้อไวรัส หากเป็นแบคทีเรีย อาการจะชัดมาก เช่น ไข้ไม่ลด เจ็บคอมากจนกลืนลำบาก อ้าปากจะเห็นต่อมทอนซิลโต และมีต่อมน้ำเหลืองใต้ขากรรไกรโตและกดเจ็บ ต้องได้รับยาปฏิชีวนะและทานให้ครบตามแพทย์สั่ง
แต่ถ้าไม่มีไข้หรืออาการเหล่านี้ไม่ชัด ให้พิจารณาสาเหตุที่ไม่ใช่การติดเชื้อ โดบสังเกตอาการร่วมอื่น เช่น เสียงแหบเรื้อรัง มีก้อนที่คอ หรือสัมพันธ์กับเวลาบางช่วงของวัน หากไม่แน่ใจ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม
สรุป
อาการเจ็บคอมีสาเหตุได้จากทั้งการติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ การสังเกตอาการอย่างเป็นระบบในแต่ละช่วงเวลา 1–14 วันมีความสำคัญมาก เพราะช่วยแยกชนิดของโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อน อาการจากไวรัสมักดีขึ้นเอง ส่วนการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราต้องได้รับการรักษาที่เหมาะสม หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 5–7 วัน หรือมีอาการรุนแรงตั้งแต่แรก เช่น กลืนน้ำลายไม่ได้ ไข้สูง ต่อมน้ำเหลืองกดเจ็บ หรือมีผื่น ควรรีบพบแพทย์เสมอ