เกล็ดเลือดมาก (สูง) (Thrombocytosis)

ภาวะเกล็ดเลือดสูง หมายถึงมีปริมาณเกล็ดเลือดมากกว่า 450,000/μL (450 x 109/L) โดยพบในเด็กได้ประมาณร้อยละ 100 และในผู้ใหญ่ร้อยละ 88–97 สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากภาวะที่ร่างกายถูกกระตุ้นให้สร้างเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้นผ่าน Interleukin-1, 3 และ 6 ทำให้เกิดภาวะ reactive/secondary thrombocytosis ซึ่งมักพบในภาวะต่อไปนี้

ในภาวะเหล่านี้ระดับเกล็ดเลือดมักไม่เกิน 750,000/μL ซึ่งโดยทั่วไปยังไม่สูงพอที่จะทำให้หลอดเลือดอุดตัน แพทย์จึงเน้นรักษาต้นเหตุเพื่อให้เกล็ดเลือดกลับสู่ระดับปกติ หรือหากไม่สามารถรักษาต้นเหตุได้ก็จะติดตามผลเลือดเป็นระยะโดยไม่จำเป็นต้องใช้ยากดไขกระดูก

อย่างไรก็ตาม ในผู้ใหญ่ร้อยละ 3–12 ภาวะเกล็ดเลือดสูงอาจเกิดจากโรคของไขกระดูกเอง (clonal/primary thrombocytosis) ได้แก่

ส่วนที่พบได้น้อยมาก (น้อยกว่า 0.1%) คือภาวะที่เครื่องตรวจเลือดสับสนชิ้นส่วนเล็ก ๆ แปลกปลอมในเลือดว่าเป็นเกล็ดเลือด (spurious thrombocytosis) เช่น microspherocytes, schistocytes, ชิ้นส่วนเซลล์มะเร็ง, แบคทีเรีย หรือภาวะ Cryoglobulinemia เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเครื่องตรวจเลือดรายงานจำนวนเกล็ดเลือดสูงหรือต่ำผิดปกติ ควรตรวจยืนยันด้วยการดูสไลด์เลือดจากกล้องจุลทรรศน์เสมอ



อาการของภาวะเกล็ดเลือดสูง

ภาวะเกล็ดเลือดสูงระดับเล็กน้อยมักไม่ก่ออาการ แต่หากสูงเกิน 750,000/μL ความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดอุดตันจะเพิ่มขึ้น ตารางด้านล่างแสดงระดับความรุนแรงโดยประมาณ

ปริมาณเกล็ดเลือดอาการ
450,000-600,000/μLมักไม่มีอาการ พบมากใน secondary thrombocytosis
600,000-750,000/μLอาจเกิดการอุดตันของหลอดเลือดขนาดเล็ก โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง อาจมีอาการปวดศีรษะ เป็นลม เจ็บหน้าอก ตามัว ปวด–บวม–แดงที่มือหรือเท้า หรือปลายมือปลายเท้าเขียวคล้ำ
> 750,000/μLเสี่ยงเกิดหลอดเลือดอุดตันขนาดใหญ่ เช่น สมอง หัวใจ ลำไส้ หรือหลอดเลือดปลายมือปลายเท้า อาจทำให้เกิดอัมพาต ชาแขนขา พูดไม่ชัด กล้ามเนื้อหัวใจตาย ลำไส้ขาดเลือด หรือปลายมือเท้าเขียวคล้ำ

แนวทางการวินิจฉัย

การดูสไลด์เลือดช่วยแยกสาเหตุ reactive thrombocytosis ได้ดี เช่น


- หากพบโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงเล็ก ติดสีจาง หรือมีสีเข้มเฉพาะขอบ → ควรสงสัยภาวะขาดธาตุเหล็ก และตรวจ serum iron, TIBC, ferritin เพิ่มเติม

- หากพบ Howell-Jolly bodies → ให้นึกถึงภาวะไม่มีม้ามหรือม้ามไม่ทำงาน โดยเฉพาะหากมีประวัติตัดม้าม

- หากพบ schistocytes → ให้นึกถึงภาวะเม็ดเลือดแดงแตก และควรประเมินจำนวนเกล็ดเลือดด้วยการนับด้วยตาใหม่ (ประมาณ 1 ตัว/oil field ≈ 15,000/uL) และตรวจ G-6-PD กับ Direct Coombs’ test

หากตรวจพบเม็ดเลือดขาวหรือเม็ดเลือดแดงสูงร่วมด้วย ควรสงสัยโรคไขกระดูก เช่น Essential thrombocythemia หรือ Polycythemia vera โดยควรตรวจยีนกลายพันธุ์ JAK2V617F แม้พบได้เพียง 60–90% จึงไม่สามารถทดแทนการตรวจไขกระดูกโดยแพทย์โลหิตวิทยาได้

Essential thrombocythemia (ET) เป็นโรคไขกระดูกที่ควรให้ความสำคัญ พบมากในผู้มีอายุ 50–70 ปี หากวินิจฉัยและรักษาเร็วจะลดโอกาสเกิดหลอดเลือดอุดตันซึ่งอาจนำไปสู่ความพิการถาวร

เกณฑ์วินิจฉัยต้องมี 4 เกณฑ์หลัก หรือ 3 เกณฑ์หลักแรก + 1 เกณฑ์รอง

เกณฑ์หลัก

  1. เกล็ดเลือด ≥450,000/uL (450 x 109/L )
  2. ไขกระดูกมี megakaryocyte เพิ่มจำนวนและมีขนาดใหญ่ ลักษณะ nucleus แบบ hyperlobulated
  3. ไม่เข้าเกณฑ์โรค BCR-ABL1+ CML, PV, PMF, myelodysplastic syndromes หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวอื่น
  4. พบยีนกลายพันธุ์ JAK2, CALR, หรือ MPL

เกณฑ์รอง

  1. มี clonal marker หรือไม่มีหลักฐานสนับสนุนภาวะ reactive thrombocytosis


แนวทางการรักษา

หากเป็น reactive thrombocytosis จะเน้นติดตามผลเลือด และในช่วงที่เกล็ดเลือดสูงมากอาจพิจารณาใช้แอสไพรินขนาดต่ำ (75–81 mg วันละ 1 เม็ด) เพื่อป้องกันเกล็ดเลือดเกาะกลุ่มมากเกินไป

หากเป็นโรคของไขกระดูก เช่น Essential thrombocythemia หรือโรคมะเร็งไขกระดูกอื่น ต้องได้รับการรักษาด้วยยาเฉพาะทางหรือยาเคมีบำบัดตามดุลยพินิจแพทย์โลหิตวิทยา

สรุป

ภาวะเกล็ดเลือดสูงส่วนใหญ่เป็นผลรองจากโรคหรือภาวะอื่นของร่างกาย เช่น การติดเชื้อ การอักเสบ การบาดเจ็บ หรือการขาดธาตุเหล็ก ซึ่งมักไม่รุนแรงและเกล็ดเลือดจะลดลงเองเมื่อรักษาต้นเหตุ แต่ในผู้ใหญ่บางส่วนอาจเกิดจากความผิดปกติของไขกระดูก เช่น Essential thrombocythemia ซึ่งต้องวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วเพราะเสี่ยงหลอดเลือดอุดตันได้ การตรวจยืนยันด้วยสไลด์เลือด การตรวจยีนกลายพันธุ์ และการประเมินโดยแพทย์โลหิตวิทยาเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยแยกสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

บรรณานุกรม

  1. Stacey R. Rose, et al. 2012. "Etiology of Thrombocytosis in a General Medicine Population: Analysis of 801 Cases With Emphasis on Infectious Causes." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา J Clin Med Res 2012;4(6):415-423. (8 ธันวาคม 2568).
  2. Jonathan S. Bleeker & William J. Hogan. 2011. "Thrombocytosis: Diagnostic Evaluation, Thrombotic Risk Stratification, and Risk-Based Management Strategies." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Thrombosis. 2011:536062. (8 ธันวาคม 2568).
  3. Ayalew Tefferi. 2012. "How I Work up the Patient with Thrombocytosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา The ASCO Post. (8 ธันวาคม 2568).