เวียนศีรษะ (Dizziness, Vertigo)
ปกติการทรงตัวของมนุษย์อาศัยข้อมูลจาก 3 ระบบสำคัญ ได้แก่ การมองเห็น สัมผัสจากร่างกาย และการรับรู้การเคลื่อนไหวจากอวัยวะทรงตัวในหูชั้นใน ทั้งหมดนี้ถูกประมวลผลร่วมกันที่สมอง เพื่อให้เรายืน เดิน และเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นคง หากระบบใดระบบหนึ่งทำงานผิดปกติ หรือส่งสัญญาณขัดแย้งกัน สมองจะตีความผิดพลาดและก่อให้เกิดอาการเวียนศีรษะ
อาการเวียนศีรษะแบบเล็กน้อยมักรู้สึกโคลงเคลงคล้ายเมารถหรือเมาเรือ ทางการแพทย์เรียกว่า dizziness (วิงเวียน) แต่ถ้าอาการรุนแรงจนรู้สึกว่าสิ่งรอบตัวหมุน มีปัญหาในการทรงตัว ตากระตุก หรือมีอาการคลื่นไส้อาเจียน จะเรียกว่า vertigo (บ้านหมุน)
อาการเวียนศีรษะส่วนใหญ่จะเป็นเพียงชั่วคราว ร่างกายจะปรับสมดุลเองได้เมื่อระบบทั้งสามสอดคล้องกันอีกครั้ง แต่หากเกิดบ่อย ใช้เวลานานกว่าจะทุเลา หรือไม่ดีขึ้นเลย ควรเข้ารับการตรวจเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
สาเหตุของอาการเวียนศีรษะแบบวิงเวียน
- การอยู่บนยานพาหนะที่เคลื่อนที่หรือโคลงเคลง โดยที่สายตามองไม่เห็นสภาพแวดล้อมชัดเจน
- การหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้สายตาจับภาพไม่ทัน
- ปัญหาทางสายตา เช่น สั้น ยาว เอียง แล้วใช้งานสายตาหนัก เช่น อ่านหนังสือตัวเล็กเป็นเวลานาน
- ภาวะแพ้ท้องระยะแรก
- โรคความดันโลหิตสูง
- ความดันโลหิตต่ำ
- ภาวะโลหิตจาง
- ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โดยเฉพาะในผู้ใช้ยารักษาเบาหวาน
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
- พยาธิสภาพของหูหรือสมองที่ยังไม่รุนแรง (คล้ายสาเหตุแบบบ้านหมุน)
สาเหตุของอาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุน
โดยมากเกิดจากความผิดปกติของหูชั้นใน สมอง หรือเส้นประสาทที่เกี่ยวกับการทรงตัว
- พยาธิสภาพของอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน
- ภาวะก้อนหินปูนเคลื่อน (BPPV) มีอาการเฉพาะเมื่อหันศีรษะไปทิศหนึ่ง มักเกิดเพียงช่วงสั้น ๆ ไม่เกิน 1 นาที
- การติดเชื้อของหูชั้นใน (labyrinthitis) เกิดจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิต มักลุกลามมาจากหูชั้นกลางหรือเยื่อหุ้มสมอง
- การอักเสบจากสารพิษ (toxic labyrinthitis) เช่น ยากลุ่ม aminoglycoside, quinine, salicylate, sulfonamide, barbiturate
- การบาดเจ็บศีรษะ ซึ่งอาจทำให้เลือดออกหรือเกิดความผิดปกติในอวัยวะทรงตัว
- โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือโรคมีเนีย (Ménière’s disease) ทำให้เวียนศีรษะเป็นพัก ๆ ร่วมกับเสียงดังในหูและการได้ยินลดลง มักเรื้อรังและรักษายาก
- พยาธิสภาพที่สมอง
- การติดเชื้อของระบบประสาท
- การเสื่อมของระบบประสาทที่ควบคุมการทรงตัว
- เนื้องอกในสมอง
- สมองขาดเลือดเฉพาะส่วนที่ควบคุมการทรงตัว
- การบาดเจ็บศีรษะ
- โรคลมชักบางชนิด
- ไมเกรนที่มีผลต่อระบบทรงตัว
- โรค Multiple sclerosis
- พยาธิสภาพที่เส้นประสาท
- เส้นประสาททรงตัวอักเสบ (vestibular neuronitis) ทำให้มีอาการต่อเนื่องหลายสัปดาห์
- เนื้องอกของเส้นประสาททรงตัว (vestibular schwannoma) มักโตช้าและพบในผู้สูงอายุ
- ไม่ทราบสาเหตุ
เมื่อไหร่ถึงควรไปพบแพทย์
แม้อาการเวียนศีรษะจำนวนมากจะทุเลาได้เอง แต่ควรพบแพทย์เมื่อมีสัญญาณเหล่านี้
- วิงเวียนนานกว่า 1 วัน หรือเกิดซ้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ
- บ้านหมุนนานกว่า 5 นาที (หากสั้นกว่านี้มักเป็น BPPV ซึ่งมักหายเอง)
- มีอาการทางหู เช่น หูอื้อ ปวดหู เสียงดังในหู หรือการได้ยินลดลง
- มีอาการทางระบบประสาท เช่น แขนขาอ่อนแรง ชัก ปวดศีรษะมาก
- เคยเกิดอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บที่ศีรษะ
แนวทางการวินิจฉัย
แพทย์จะซักประวัติอย่างละเอียด รวมถึงลักษณะอาการ ระยะเวลา ความถี่ อาการร่วมทางหู ระบบประสาท รวมถึงโรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่ และประวัติอุบัติเหตุหรือการผ่าตัด
การตรวจร่างกายจะครอบคลุมทุกระบบ โดยเฉพาะการวัดความดันโลหิตในท่านอน นั่ง และยืน เพื่อตรวจภาวะความดันตกเวลาลุก (orthostatic hypotension) ตรวจการทำงานของหู ระบบประสาท การทรงตัว รวมถึงการกกลอกตาในท่าทางต่าง ๆ
หากสงสัยหูชั้นในผิดปกติ อาจต้องตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การตรวจการได้ยิน (audiogram) การทำงานของอวัยวะทรงตัว (VNG) แรงดันน้ำในหู (ECOG) การทรงตัว (posturography) หรือการทำงานของเส้นประสาทการได้ยิน (evoked response audiometry) กรณีสงสัยเนื้องอกหรือโรคของสมอง จะใช้ CT scan หรือ MRI
แต่หากไม่พบความผิดปกติที่หูหรือสมองเลย อาจตรวจเลือดเพิ่มเติม เช่น ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด น้ำตาล และเกลือแร่ ซึ่งมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่พบความผิดปกติชัดเจน ทำให้อยู่ในกลุ่ม “ไม่ทราบสาเหตุ” จนกว่าจะมีอาการอื่นปรากฏในภายหลัง
สรุป
อาการเวียนศีรษะมีสาเหตุหลากหลาย ตั้งแต่ความผิดปกติเล็กน้อยของสายตา ระดับน้ำตาลในเลือด การเปลี่ยนท่าทาง ไปจนถึงโรคของหูชั้นใน สมอง และระบบประสาท การประเมินจึงต้องอาศัยประวัติและการตรวจร่างกายที่ละเอียด รวมถึงการตรวจเฉพาะทางในบางกรณี หากอาการเกิดบ่อย รุนแรง หรือมีอาการร่วมผิดปกติ ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะต้น เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและช่วยให้คุณกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างรวดเร็ว