ตามัว (Visual impairment)
ตามัว หมายถึง การมองเห็นไม่ชัดในหลายรูปแบบ ตั้งแต่ภาพมัวเลือน บิดเบี้ยว มีจุดดำบดบัง เห็นเหมือนม่านคลุม เห็นแคบลงเรื่อย ๆ ไปจนถึงไม่สามารถมองเห็นได้เลย อาการอาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน ชั่วคราว หรือค่อย ๆ เป็นมากขึ้นอย่างช้า ๆ พบได้บ่อยในทุกช่วงวัยตั้งแต่เด็กจนผู้สูงอายุ
การประเมินความรุนแรงของการตามัวมักใช้แผ่นทดสอบสายตา Snellen Chart ดังภาพด้านขวา ซึ่งยังใช้เป็นเกณฑ์สำคัญด้านกฎหมายเพื่อกำหนดระดับความผิดปกติของสายตาที่อาจกระทบต่อความสามารถในการขับรถหรือเข้าข่ายผู้พิการทางสายตา ดังนี้
สายตาเลือนลาง (Low vision) หมายถึง ตาข้างที่ดีที่สุดมองเห็นได้แย่กว่าค่า 20/50 (อ่านได้เพียงสามแถวบนสุดที่ระยะ 20 ฟุต) หรือลานสายตาแคบกว่า 30 องศา ระดับสายตานี้ถือว่าไม่ปลอดภัยต่อการขับรถ
ตาบอด (Blindness) หมายถึง ตาข้างที่ดีที่สุดมองเห็นแย่กว่าค่า 20/200 (อ่านแถวบนสุดที่ระยะ 20 ฟุตไม่ได้) หรือมีลานสายตาแคบกว่า 10 องศา ระดับนี้กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก
สาเหตุของอาการตามัว
เมื่อผู้ป่วยมีอาการตามัว สิ่งแรกที่แพทย์ต้องแยกให้ได้คือ *ภาวะสายตาผิดปกติ* ได้แก่ สายตาสั้น ยาว เอียง รวมถึงตาขี้เกียจ ภาวะเหล่านี้ไม่ใช่โรคของดวงตา แต่เป็นความผิดปกติของการรวมแสง วิธีตรวจคือให้อ่าน Snellen Chart ผ่านรูรับแสงเล็ก ๆ หากอ่านได้มากขึ้นกว่าปกติ แสดงว่ามีปัญหาสายตาที่ต้องแก้ด้วยเลนส์เฉพาะ
ขั้นต่อมาคือจักษุแพทย์ต้องพิจารณาว่าตามัวเกิดจาก ส่วนนำภาพ (Ocular media) หรือ ส่วนรับภาพ (Sensory system)
ส่วนนำภาพคือโรคของลูกตาโดยตรง มักมีอาการปวดตาร่วมด้วย (ยกเว้นโรคเรื้อรังบางชนิด) ส่วนรับภาพคือโรคทางประสาทตาและหลอดเลือดที่มีผลต่อจอประสาทตา มักไม่มีอาการปวดตา
ประวัติความเร็วของอาการช่วยแยกโรคได้มาก โรคเรื้อรังมักค่อย ๆ มัวเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ไม่สามารถระบุวันที่เริ่มได้ชัดเจน ขณะที่โรคเฉียบพลันตามัวทันที ผู้ป่วยบอกเวลาหรือวันที่เริ่มได้ บางรายตามัวเป็นครั้งคราวแล้วหายเอง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับหลอดเลือดอุดตันชั่วคราวหรือโรคระบบอื่น
โรคที่ทำให้ตามัวเฉียบพลันหรือค่อนข้างเร็ว
- โรคของส่วนนำภาพ
- ต้อหินเฉียบพลันมุมปิด (Acute angle-closure glaucoma) เกิดจากม่านตา (Iris) เคลื่อนมาปิดทางระบายน้ำในลูกตา ทำให้ความดันตาสูงขึ้นทันที ผู้ป่วยจะปวดตามาก เห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ และตามัวอย่างรวดเร็ว ต้องรักษาเร่งด่วน
- กระจกตาเป็นแผล (Corneal ulcer) มักเกิดตามหลังกระจกตาอักเสบ ผู้ป่วยมีอาการปวดตา ตาแดง แพ้แสง น้ำตาไหลมาก
- ยูเวียอักเสบเฉียบพลัน (Acute uveitis) ยูเวีย (Uvea) คือเนื่อเยื่อชั้นกลางของลูกตาที่อยู่ระหว่างตาขาว (Sclera) ชั้นนอกสุด กับจอตา (Retina) ชั้นในสุด
ยูเวียแบ่งออกเป็น 3 ส่วนตามหน้าที่ ส่วนหน้าสุดคือม่านตา (Iris) ทำหน้าที่ปรับขนาดช่องรับแสงของตา ส่วนถัดมาคือ Ciliary body ทำหน้าที่ยึดเลนส์ตา ปรับรูปทรงของเลนส์ให้พอดีกับภาพที่เราโฟกัส และผลิตน้ำหล่อเลี้ยงเลนส์ตา ส่วนหลังสุดคือเนื้อเยื่อคอรอยด์ (Choroid) ทำหน้าที่ให้ออกซิเจนและสารอาหารแก่จอตาทางหลอดเลือดฝอยจำนวนมาก
การอักเสบของม่านตาและ Ciliary body มักพบร่วมกันเพราะอยู่ติดกัน จึงเรียกรวมกันว่า ยูเวียส่วนหน้าอักเสบ (Anterior uveitis) อาการคือปวดตา ตาแดง สู้แสงไม่ได้ น้ำตาไหลตลอดเวลา และตามัว การอักเสบของเนื้อเยื่อคอรอยด์เรียกว่า ยูเวียส่วนหลังอักเสบ (Posterior uveitis หรือ Choroiditis) จะทำให้เห็นวัตถุลอยและตามัว แต่ไม่ค่อยปวดตาหรือแพ้แสง
ยูเวียอักเสบพบร่วมกับหลายโรค เช่น Ankylosing spondylitis, Reiter’s syndrome, Psoriasis, Juvenile idiopathic arthritis, วัณโรค, เริม, หัดเยอรมัน, เชื้อรา หรือปรสิตบางชนิด บางครั้งพบโดยไม่ทราบสาเหตุ
- กระจกตาบวมเฉียบพลัน (Acute corneal hydrops)
เกิดจากเยื่อหุ้มกระจกตาด้านหลัง (Descemet’s membrane) ฉีกขาดโดยไม่ทราบสาเหตุ น้ำภายในลูกตาจึงซึมเข้ามาในกระจกตาทำให้บวมมาก พบมากในเพศชายอายุ 15–30 ปี อาการคือ ตามัวทันที แพ้แสง น้ำตาไหล และกระจกตานูนโป่งชัดเจน
- ได้รับบาดเจ็บที่ตา (Ocular trauma)
- เลือดออกในวุ้นตา (Vitreous hemorrhage) วุ้นตาเป็นเนื้อเจลใสภายในลูกตา
ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงกระจกตา Ciliary body และจอตา การมีเลือดออกมักเกิดจากเส้นเลือดจอตาฉีก เช่น เบาหวานขึ้นตา จอตาฉีกขาด หรือหลอดเลือดผิดปกติต่าง ๆ อาการคือเห็นเป็นเงาหรือจุดลอยไปมา บางครั้งเป็นสีแดง ตามัวมากเวลาเพิ่งตื่นเพราะเลือดนอนกองที่จุดภาพชัด แต่ดีขึ้นเมื่อเลือดกระจายออกด้านข้าง
- การอักเสบภายในลูกตา (Endophthalmitis) เป็นการติดเชื้อรุนแรง ผู้ป่วยมีปวดตา ปวดศีรษะ ตาแดง ขี้ตาเยอะ แพ้แสง และตามัวมาก
- โรคของส่วนรับภาพ
- จอตาหลุดลอก (Retinal detachment) วุ้นตายึดติดกับจอรับภาพผ่านเส้นใยจำนวนมาก บริเวณที่มีเส้นใยหนาแน่นที่สุดอยู่ทางด้านหน้าใกล้กับด้านหลังของเลนส์ เราเรียกบริเวณนี้ว่า ฐานวุ้นตา (vitreous base) เส้นใยเหล่านี้จะโยงไปเกาะทางด้านหลัง บริเวณขั้วประสาทตา (optic disc), บริเวณจุดรับภาพ (macula) และตามแนวเส้นเลือดบนจอประสาทตา (retinal vessels) เมื่ออายุมากขึ้นวุ้นตาเสื่อม เส้นใยบางส่วนขาดและดึงจอประสาทตาจนฉีก ผู้ป่วยจะเห็นจุดดำลอย (Floater), เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบบริเวณส่วนริมของภาพ (Flashing), หรือเหมือนม่านดำบดบังด้านใดด้านหนึ่ง ต้องพบจักษุแพทย์ทันที
- หลอดเลือดจอตาอุดตัน (Retinal vessel occlusion)
หลอดเลือดดำอุดตัน ทำให้เลือดคั่งที่จอตา ผู้ป่วยตามัวและเห็นจุดลอย เป็นภาวะแทรกซ้อนของต้อหิน เบาหวาน ความดันสูง โรคเลือด และโรคหลอดเลือดในผู้สูงอายุ อาการมักดีขึ้นเองในหนึ่งปี แต่ต้องติดตามกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
หลอดเลือดแดงอุดตัน ทำให้มองไม่เห็นทันทีแบบไม่เจ็บปวด พบในผู้มีโรคหัวใจหรือหลอดเลือดแคโรติด เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรักษาภายใน 90 นาทีเพื่อป้องกันตาบอดถาวร การนวดตาเบา ๆ อาจช่วยให้ลิ่มเลือดเล็ก ๆ หลุดออก แต่ห้ามทำหากอาการนานแล้วเพราะอาจทำให้ความดันตาสูงขึ้น
- เส้นประสาทตาอักเสบ (Optic neuritis) มักเกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันทำร้ายเนื้อเยื่อของร่างกายเอง โรค Multiple sclerosis การติดเชื้องูสวัดหลังฉีดวัคซีน หรือการอักเสบร่วมระหว่างโพรงไซนัสกับเบ้าตา การอักเสบทำให้ปลอกหุ้มเส้นประสาทตาเสื่อม ส่งผลให้การส่งสัญญาณประสาทจากตาไปสมองบกพร่อง ทำให้การมองเห็นลดลงหรือสีต่าง ๆ ดูหม่นลง บางรายปวดเวลากลอกตา อาการมักค่อย ๆ เกิดภายใน 3–10 วัน นอกจากนี้มักพบอาการของโรคตั้งต้นร่วมด้วย เช่น แขนขาอ่อนแรง ผื่นงูสวัด หรือน้ำมูกเป็นหนองตามสาเหตุพื้นฐาน
โรคเส้นประสาทตาอักเสบต้องแยกโรคจากเส้นประสาทตาขาดเลือด (Anterior ischemic optic neuropathy), ภาวะถูกกดเบียดจากเนื้องอกสมอง และเส้นประสาทตาถูกทำลายจากสารพิษ (Toxic optic neuropathy) เช่น ตะกั่ว หรือยาบางชนิดโดยเฉพาะยารักษาวัณโรค
- จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (Wet AMD) เกิดจากเส้นเลือดผิดปกติงอกใต้จอประสาทตาและผนังชั้นพี่เลี้ยง (Retinal pigment epithelium) จากนั้นมีการรั่วซึมของเลือดหรือของเหลว
ทำให้บริเวณจุดรับภาพชัด (macula) บวม ผู้ป่วยจึงเริ่มมองเห็นภาพตรงกลางบิดเบี้ยว และมืดลงในที่สุด โรคดำเนินเร็วภายในไม่กี่สัปดาห์
การรักษาด้วยเลเซอร์สามารถยับยั้งหรือชะลอการงอกของเส้นเลือดผิดปกติ แม้จะไม่ทำให้การมองเห็นที่เสียไปกลับคืน แต่ช่วยรักษาระดับการมองเห็นไว้ได้ดีกว่าการไม่รักษาเลย
โรคที่ตาค่อย ๆ มัว
โรคในกลุ่มนี้น่ากลัวกว่าในกลุ่มแรก เพราะความผิดปกติเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ จนแทบไม่รู้ตัว และเป็นสาเหตุของการตาบอดถึงร้อยละ 90
- โรคของส่วนนำภาพ
- ต้อกระจก (Cataract) เกิดจากเลนส์ตาค่อย ๆ ขุ่นจากหลายสาเหตุ เช่น กรรมพันธุ์ มารดาติดเชื้อหัดเยอรมันในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสแรก ภาวะทุพโภชนาการ อุบัติเหตุ ม่านตาอักเสบเรื้อรัง เบาหวาน การใช้สเตียรอยด์ หรืออายุที่เพิ่มขึ้น
อาการจะค่อยเป็นค่อยไป มองไม่ชัดโดยเฉพาะในที่มีแสงจ้า แต่กลับมองเห็นดีขึ้นในที่สลัว เนื่องจากม่านตาหดในที่สว่างทำให้แสงผ่านได้น้อย แต่ขยายในที่มืดทำให้มองเห็นดีขึ้น หากเลนส์ตาขุ่นไม่เท่ากันอาจเห็นภาพซ้อน เมื่อเป็นมากบริเวณรูม่านตาจะเห็นเป็นสีขาว
- ยูเวียอักเสบเรื้อรัง (Chronic uveitis) เกิดจากโรคทางกายที่เป็นเรื้อรัง ทำให้เกิดการอักเสบซ้ำ ๆ จนเรื้อรัง แม้อาการปวดจะลดลง แต่ตาจะพร่ามัวอยู่เสมอ และอาจมีต้อกระจกหรือต้อหินแทรกซ้อน
- โรคของส่วนรับภาพ
- เบาหวานขึ้นจอตา (Diabetic retinopathy) เบาหวานทำให้เกิดผลกระทบที่ตาได้หลายรูปแบบ ทั้งต้อหิน ต้อกระจก และภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา ผู้ป่วยเบาหวานจึงควรตรวจตาปีละครั้งเป็นประจำ
โรคเกิดจากหลอดเลือดฝอยเสื่อมและรั่วซึมเพราะน้ำตาลสูงเป็นเวลานาน ทำให้จอตาบวมและเริ่มมองไม่ชัด (ระยะที่ 1) ต่อมาหลอดเลือดฝอยอุดตันทำให้จอตาขาดเลือด ร่างกายสร้างเส้นเลือดใหม่ขึ้นทดแทน แต่เส้นเลือดเหล่านี้เปราะและแตกง่าย ทำให้มีเลือดออกเป็นจุดเล็ก ๆ มากมาย (ระยะที่ 2) สุดท้ายพังผืดดึงรั้งจนจอตาลอก ทำให้เห็นมัวและมีเงามาบดบัง
- ต้อหินแบบมุมเปิด (Primary open angle glaucoma) เกิดจากความดันตาสูงหรือเลือดไปเลี้ยงขั้วประสาทตาไม่พอ ทำให้ลานสายตาแคบลง แต่การมองเห็นตรงกลางยังดีอยู่ ผู้ป่วยจึงไม่รู้ตัว อุบัติการณ์สูงในผู้สูงอายุ ผู้มีประวัติครอบครัว เบาหวาน หรือความดันสูง
การวินิจฉัยต้องตรวจโดยจักษุแพทย์ ได้แก่ วัดสายตา วัดความดันตา ตรวจมุมตา ตรวจขั้วประสาทตา และอาจใช้คอมพิวเตอร์วิเคราะห์หรือถ่ายภาพขั้วประสาทตา ผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไปควรตรวจสายตาอย่างละเอียดเป็นประจำ
- จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง (Dry AMD) เกิดจากการเสื่อมและบางลงของบริเวณจุดรับภาพชัดตามวัย ทำให้การมองเห็นค่อย ๆ ลดลง ตาแต่ละข้างอาจเสื่อมไม่เท่ากัน เป็นชนิดที่พบบ่อยกว่าแบบเปียก ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่การรับประทานผักที่มีลูทีนและซีแซนทิน เช่น คะน้าและปวยเล้ง อาจช่วยชะลอการเสื่อมได้
โรคที่ตามัวชั่วคราว
มักเกี่ยวกับโรคทางกายอื่น เช่น ไมเกรน ภาวะขั้วประสาทตาบวม (papilledema), Amaurosis fugax หรือภาวะหลอดเลือดอุดตันชั่วคราว
บางรายตรวจไม่พบความผิดปกติ หรือเป็นการแกล้งมัว (Malingering) ซึ่งต้องใช้การตรวจหลายอย่างร่วมกันโดยจักษุแพทย์หลายท่าน
สรุป
อาการตามัวเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของดวงตาหรือระบบประสาทตา ตั้งแต่ภาวะสายตาผิดปกติทั่วไป ไปจนถึงโรคเฉียบพลันที่อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวรได้ การสังเกตลักษณะอาการ ความเร็วในการเกิด อาการร่วม เช่น ปวดตา ตาแดง แพ้แสง หรือเห็นแสงวาบ ช่วยให้แยกสาเหตุได้เร็วขึ้น หากมีอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นทันที เห็นจุดดำลอย แสงแวบ หรือเหมือนม่านบัง ควรพบจักษุแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อการรักษาอย่างทันท่วงที