โรคบิดมีตัว (Amoebiasis)

โรคบิดมีตัวเกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้ออะมีบา (Entamoeba histolytica) ซึ่งมักปนออกมากับอุจจาระของผู้ป่วย การใช้ปุ๋ยสดจากอุจจาระ การมีการรั่วไหลระหว่างท่อน้ำประปากับท่อน้ำโสโครก การไม่ล้างมือก่อนหยิบอาหาร รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีแมลงวันตอม ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการรับเชื้อเข้าทางเดินอาหาร ซิสต์ของอะมีบาสามารถทนความร้อนได้ที่ 65 องศาเซลเซียส นานถึง 3 นาที

พยาธิสภาพ

เมื่อซิสต์เข้าสู่ลำไส้ใหญ่ จะปล่อยอะมีบาตัวเล็ก 4 ตัวออกมาและเจริญเติบโตเป็นระยะโทรโฟซอยต์ ซึ่งสามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและแทรกเข้าไปในชั้นผิวลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดแผลลักษณะปากแคบก้นกว้าง (flask-shaped ulcer) และมักพบผลึกรูปกระสวย (Charcot-Leyden crystals) ในแผล

พยาธิสภาพที่พบได้น้อยแต่จำเพาะคือ "อะมีโบมา (amoeboma)" ซึ่งเป็นก้อนเนื้ออักเสบแข็ง อาจเข้าใจผิดว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

โทรโฟซอยต์จำเป็นต้องพึ่งพาแบคทีเรียในลำไส้เพื่อการเจริญเติบโต หากสภาพในลำไส้ไม่เหมาะสม เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะ โทรโฟซอยต์จะเปลี่ยนกลับเป็นซิสต์และถูกขับออกมากับอุจจาระ ทำให้เชื้อแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้

อาการของโรค

ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ (ประมาณ 90%) ไม่มีอาการ เรียกว่าเป็น "พาหะ" อาจมีเพียงอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องเสียเล็กน้อยเป็นครั้งคราว และตรวจพบซิสต์ในอุจจาระ

ผู้ที่มีอาการมักเริ่มหลังติดเชื้อ 8–10 วัน โดยจะถ่ายเหลวปนมูกเลือด มีกลิ่นเหม็นคล้ายหัวกุ้งเน่า รู้สึกปวดเบ่งถ่ายบ่อยโดยไม่มีไข้ ต้องตรวจอุจจาระเพื่อยืนยัน

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจกลายเป็นเรื้อรังหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ลำไส้ทะลุ ผู้ป่วยจะปวดท้องรุนแรง หน้าท้องแข็งโป่งตึงและมีไข้ ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงต้องรีบพบแพทย์ทันที

บางรายอาจมีการรวมตัวของเนื้อเยื่อจนกลายเป็นก้อนในลำไส้ ทำให้คลำเจอพร้อมกับอาการถ่ายมูกเลือด ซึ่งอาจเข้าใจผิดว่าเป็นมะเร็งลำไส้ได้

โรคแทรกซ้อนที่พบได้ เช่น ฝีอะมีบาที่ตับ และการติดเชื้ออะมีบาในสมอง



การวินิจฉัย

การวินิจฉัยโรคทำได้หลายวิธี ได้แก่:

  • การตรวจอุจจาระ (Stool Examination): เป็นมาตรฐานในการตรวจหา trophozoite หรือซิสต์ การตรวจพบ trophozoite ที่มีเม็ดเลือดแดงอยู่ภายใน ถือเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของเชื้อ E. histolytica
  • การตรวจทางเซรุ่มวิทยา (Serology): ใช้ตรวจหาแอนติบอดีในเลือด เหมาะสำหรับวินิจฉัยภาวะนอกลำไส้ เช่น ฝีในตับ
  • การตรวจด้วยวิธี PCR: สามารถแยกเชื้อ E. histolytica ออกจาก E. dispar และ E. moshkovskii ที่ไม่ก่อโรคได้อย่างแม่นยำ
  • การตรวจภาพทางรังสี: เช่น อัลตราซาวด์หรือ CT scan ใช้ยืนยันและระบุตำแหน่งของฝีในตับ

การวินิจฉัยแยกโรค

ลักษณะ โรคบิดมีตัว (Amoebiasis) โรคบิดไม่มีตัว (Shigellosis) การติดเชื้อ E. coli (EHEC)
สาเหตุ Entamoeba histolytica (ปรสิต) แบคทีเรีย Shigella แบคทีเรีย E. coli (สายพันธุ์ EHEC)
อุจจาระ มีมูกปนเลือด กลิ่นเหม็นคาว อาจพบเม็ดเลือดแดงเป็นกลุ่ม มีมูกและเลือดมาก มักมีหนองปน เริ่มถ่ายน้ำใส แล้วเปลี่ยนเป็นเลือด
อาการปวดท้อง ปวดบิดเป็นๆ หายๆ อาจมีอาการปวดเบ่ง ปวดท้องและปวดเบ่งรุนแรง ปวดเกร็งหน้าท้องรุนแรง
ไข้ อาจไม่มีไข้ หรือมีไข้ต่ำ หากมีภาวะแทรกซ้อนจะไข้สูง ไข้สูง อาจไม่มีไข้ หรือไข้ต่ำ
การวินิจฉัย ตรวจพบ trophozoite/cyst ในอุจจาระ, serology, PCR เพาะเชื้ออุจจาระ, ตรวจ PCR เพาะเชื้ออุจจาระ, ตรวจหา shiga toxin

การรักษา

ผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนสามารถรักษาด้วยยาได้ แต่หากมีภาวะ amoeboma หรือลำไส้ทะลุ อาจจำเป็นต้องผ่าตัดร่วมด้วย

ยาที่ใช้รักษาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม:

  1. ยาฆ่าเชื้อในเนื้อเยื่อ (Tissue/Systemic amebicides): กรณีเป็นฝีบิดในตับ หรือเชื้อบิดในผนังลำไส้ เช่น Chloroquine, Dehydroemetine, Emetine
  2. ยาฆ่าเชื้อในทางเดินอาหาร (Luminal amebicides): สามารถกำจัดได้ทั้ง trophozoites และ cysts ภายในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ เช่น Diloxanide furoate, Iodoquinol, Paramomycin
  3. ยาฆ่าเชื้อได้ทั้งสองแบบ (Mixed amebicides): เช่น Metronidazole, Tinidazole แต่ฆ่าได้เฉพาะ trophozoites ไม่ฆ่าซิสต์ จึงควรใช้ร่วมกับ luminal amebicides

Metronidazole เป็นยาหลัก มีทั้งแบบกินและฉีด ขนาด 500–750 mg วันละ 3 ครั้ง นาน 7–10 วัน (เด็ก 10–15 mg/kg/ครั้ง สูงสุดไม่เกิน 750 mg) หากมีฝีตับต้องเจาะระบายหนองร่วมด้วย

Tinidazole ใช้กินวันละครั้ง 2 กรัม นาน 3 วัน (เด็ก 50 mg/kg ไม่เกิน 2 กรัม) สำหรับฝีตับต้องให้ 5 วัน

ยากลุ่ม Luminal amebicides ที่ใช้ร่วมเมื่อพบซิสต์:

  • Diloxanide furoate: 500 mg วันละ 3 ครั้ง นาน 10 วัน
  • Paromomycin: 10 mg/kg วันละ 3 ครั้ง นาน 7 วัน (ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยที่ไตเสื่อม)
  • Iodoquinol: 650 mg วันละ 3 ครั้ง พร้อมอาหาร (เพราะยามีผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารมาก) นาน 21 วัน


พยากรณ์โรค

หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง พยากรณ์โรคส่วนใหญ่จะดี ผู้ป่วยมักอาการดีขึ้นภายใน 2–3 วัน แต่หากเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ฝีสมองหรือการติดเชื้อในกระแสเลือด อาจทำให้เสียชีวิตได้

วิธีป้องกัน

การป้องกันที่สำคัญที่สุดคือการรักษาสุขอนามัย โดยเฉพาะการบริโภคอาหารและน้ำที่สะอาด

  • ล้างมือก่อนหยิบอาหารทุกครั้ง
  • ล้างผักผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน
  • ดื่มน้ำสะอาด หากไม่มั่นใจควรต้มให้เดือดนานอย่างน้อย 3 นาที
  • เมื่อมีอาการท้องเสีย ควรหลีกเลี่ยงการทำอาหาร เล่นน้ำในสระหรือลำคลอง และไม่ถ่ายอุจจาระลงในแม่น้ำลำคลอง
  • หลีกเลี่ยงการใช้อุจจาระสดเป็นปุ๋ย

สรุป

โรคบิดมีตัวเกิดจาก E. histolytica ติดต่อผ่านอาหาร น้ำ และสุขอนามัย อาการมีตั้งแต่ไม่มีอาการจนถึงถ่ายมูกเลือดหรือฝีตับ การวินิจฉัยอาศัยการตรวจอุจจาระ แอนติเจน/แอนติบอดี PCR และการถ่ายภาพรังสี การรักษาต้องใช้ยาสองขั้นตอน คือ metronidazole/tinidazole ตามด้วย luminal agent เพื่อกำจัดเชื้ออย่างสมบูรณ์ หากควบคู่กับการป้องกันด้านสุขลักษณะ จะช่วยลดการแพร่กระจายและการกลับเป็นซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ