โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis, OA)

โรคข้อเสื่อมเป็นโรคข้อที่พบบ่อยที่สุด โดยพบมากถึงร้อยละ 15 ในประชากรอายุ 55 ปีขึ้นไป และสูงถึงร้อยละ 85 ในผู้ที่มีอายุ 75 ปีขึ้นไป โรคนี้เกิดจากการสึกหรอและเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนผิวข้อ (สีฟ้าในรูป) ซึ่งมีหน้าที่ลดแรงเสียดทานและรองรับน้ำหนักปกติ ปัจจัยที่ทำให้เกิดได้แก่ การบาดเจ็บซ้ำเรื้อรัง, โรคข้ออักเสบเรื้อรัง, น้ำหนักเกิน, และการใช้งานข้อหนักเป็นเวลานาน เมื่อกระดูกอ่อนสูญเสียไป กระดูกจะเสียดสีกันโดยตรง ทำให้เกิดความปวดและการเปลี่ยนแปลงของข้อ ร่างกายพยายามซ่อมแซมโดยดึงแคลเซียมมาสะสม แต่กลับทำให้ผิวข้อไม่เรียบและยิ่งเพิ่มความเจ็บปวด

ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถทำให้ข้อกลับคืนสู่สภาพปกติได้ การรักษาด้วยการเปลี่ยนข้อทำได้กับข้อเข่าและข้อสะโพก แต่ไม่จำเป็นในทุกราย ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้งานข้อและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

อาการและการวินิจฉัยโรค

ข้อที่มักเสื่อมบ่อย ได้แก่ ข้อเข่า, ข้อสะโพก, กระดูกสันหลังส่วนเอวและกระเบนเหน็บ, กระดูกสันหลังส่วนคอ และข้อนิ้วมือ นักกีฬาที่ใช้ข้อมือหรือข้อไหล่มากอาจพบการเสื่อมที่ตำแหน่งเหล่านี้ได้เช่นกัน

อาการสำคัญ ได้แก่ ปวดข้อ ข้อฝืด และข้อติด ในระยะแรกจะปวดเฉพาะเมื่อใช้งานนาน ๆ และดีขึ้นเมื่อพัก สังเกตได้ว่าไม่ค่อยมีข้อบวมต่างจากโรคข้ออักเสบเฉียบพลัน เช่น เกิดจากการบาดเจ็บ การติดเชื้อ หรือโรคเกาท์ ที่มักมีอาการบวม แดง และร้อนร่วมด้วย

เมื่อข้อเสื่อมมากขึ้นและมีการเกาะของแคลเซียม ข้อจะเสียความยืดหยุ่น ทำให้ขยับได้ไม่เต็มช่วงการเคลื่อนไหว และมีข้อฝืดโดยเฉพาะตอนเริ่มใช้งาน

หากปวดมากจนใช้งานไม่ได้ ผู้ป่วยจะหลีกเลี่ยงการขยับข้อ และสุดท้ายข้ออาจติด ไม่สามารถเหยียดหรืองอได้

การวินิจฉัยทำได้จากอาการปวดเรื้อรัง ร่วมกับข้อฝืดและข้อติด การตรวจเอกซเรย์ช่วยยืนยันความรุนแรง มักพบช่องว่างระหว่างข้อแคบลง มีการเกาะของแคลเซียม และแนวกระดูกผิดปกติ



การรักษา

แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับตำแหน่งและความรุนแรง โดยทั่วไปเริ่มจากการใช้ยาแก้ปวด การลดการอักเสบ และการทำกายภาพบำบัด ส่วนการผ่าตัดมักใช้กับข้อใหญ่หรือในรายที่รักษาอื่นไม่ได้ผล

  1. การใช้ยาแก้ปวดลดการอักเสบ ได้แก่
    • ยากลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) ทั้งแบบฉีด รับประทาน ครีม/เจลนวด และสเปรย์พ่น มีผลข้างเคียงหากใช้ระยะยาว เมื่ออาการดีขึ้นควรเปลี่ยนเป็นการทำกายภาพบำบัด
    • ยาทรามาดอล (Tramadol) เป็นยาแก้ปวดที่อาจเสพติดได้ ใช้เสริมหรือแทน NSAIDs ในกรณีที่ต้องใช้ยาต่อเนื่อง
    • สเตียรอยด์ แพทย์อาจฉีดเข้าในข้อเพื่อบรรเทาอาการ แต่ไม่ควรฉีดบ่อย
  2. การทำกายภาพบำบัด ได่แก่
    • ประคบร้อน/เย็น
    • ใช้ความร้อนลึก (Deep heat therapy) เช่น ultrasound, diathermy หรือ electrotherapy
    • นวดคลายกล้ามเนื้อ
    • ใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงข้อ
    • บริหารกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน
    • ออกกำลังกายในน้ำ (วารีบำบัด)
  3. การผ่าตัด
    • ข้อเข่า
      • การส่องกล้อง ช่วยกำจัดกระดูกอ่อนที่เสียหาย ลดอาการปวดชั่วคราว
      • การซ่อมผิวกระดูกอ่อน เหมาะในรายที่กระดูกอ่อนเสียหายเฉพาะที่
      • การผ่าตัดเปลี่ยนแนวกระดูก ปรับแนวกระดูกเพื่อลดแรงกดในข้อ
      • การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมซีกเดียว ใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง เป็นการผ่าตัดเล็ก ทำให้ผู้ป่วยกลับมาเดินลงน้ำหนักได้ภายใน 1-2 วัน
      • การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด ใช้ในรายที่รุนแรงและช่วยให้อายุการใช้งานยาวนาน
    • ข้อสะโพก
        การส่องกล้องข้อสะโพก ตัดแต่งกระดูกอ่อนและเลบรัมภายในข้อ
      • การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม ใช้เทคนิคแผลเล็ก ฟื้นตัวไว ผู้ป่วยเริ่มเดินได้ภายใน 1-2 วัน


การป้องกัน

การป้องกันทำได้โดยเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายข้อ เช่น ไม่พับเข่า พับเพียบ หรือนั่งยอง ๆ ควบคุมน้ำหนักไม่ให้ BMI เกิน 23, หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูงนาน ๆ, ใช้รองเท้าที่เหมาะกับการเดินหรือวิ่งเพื่อลดแรงกระแทก, ย่อตัวและงอเข่าเมื่อยกของหนัก และพักข้อเมื่อมีอาการปวด

* BMI หรือดัชนีมวลกาย = น้ำหนัก (กก.) / (ส่วนสูงเป็นเมตร)2

พยากรณ์โรค

โรคข้อเสื่อมเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการได้ หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติ การควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกายที่เหมาะสม และการทำกายภาพบำบัดช่วยชะลอการเสื่อม ส่วนการผ่าตัดเปลี่ยนข้อมีผลลัพธ์ที่ดีในผู้ที่ข้อเสื่อมรุนแรง

สรุป

โรคข้อเสื่อมเป็นโรคข้อที่พบบ่อย โดยมีสาเหตุจากการเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนผิวข้อ อาการสำคัญคือปวด ข้อฝืด และข้อติด การรักษาเริ่มจากการใช้ยาและกายภาพบำบัด หากไม่ดีขึ้นอาจพิจารณาการผ่าตัด การป้องกันทำได้โดยการควบคุมน้ำหนัก เลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายข้อ และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม แม้ไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการและรักษาคุณภาพชีวิตได้ดี

บรรณานุกรม

  1. "Osteoarthritis (OA)." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Versus Arthritis. (26 กันยายน 2568).
  2. "Osteoarthritis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Mayo Clinic. (26 กันยายน 2568).
  3. Karolin Rönn, et al. 2011. "Current Surgical Treatment of Knee Osteoarthritis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Hindawi. (26 กันยายน 2568).