โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer's disease, AD)

โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคสมองเสื่อมที่ถูกตั้งชื่อตามนายแพทย์ Alois Alzheimer ผู้ค้นพบโรคนี้เมื่อปี ค.ศ. 1906 จากการชันสูตรศพผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยอาการความจำเสื่อม มีปัญหาด้านภาษา และพฤติกรรมผิดปกติ พบการสะสมของ amyloid plaques และ neurofibrillary tangles ในสมอง ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่ทราบกลไกการเกิดแน่ชัด

นักวิทยาศาสตร์พบว่าบริเวณแรกที่มีการสะสมของ amyloid plaques และ tangles คือสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ที่ทำหน้าที่ด้านความจำ การสะสมเหล่านี้รบกวนการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาทเสื่อมและตาย สามารถตรวจพบ amyloid plaques ได้ตั้งแต่ 10 ปีก่อนมีอาการ และเมื่อโรคดำเนินไป สมองจะฝ่อ โพรงน้ำโต และสมองส่วนฮิปโปแคมปัสหดหายไป

อาการของโรค

ระยะแรก ผู้ป่วยมักมีอาการ ความจำระยะสั้นเสื่อม เช่น ลืมว่าวางของไว้ที่ใด หรือทำอะไรเมื่อไม่นานมานี้ บางรายมี การรับรู้ผิดปกติ เช่น ลืมว่าสถานที่ที่อยู่คือที่ไหน หรือ ปัญหาด้านภาษา เช่น นึกคำพูดไม่ออก อาการเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ชีวิตประจำวันยังทำได้ตามปกติ แต่จะลืมเรื่องใหม่ซ้ำ ๆ วนเวียนอย่างนี้อยู่หลายปี

อาการที่แพทย์พอจะวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ระยะต้นได้คือ

ในระยะต้น ผู้ป่วยยังทำสิ่งที่คุ้นเคยได้ เช่น อ่านหนังสือ เล่าเรื่องในอดีต ฟังเพลง ร้องเพลง เต้นรำ วาดรูป หรือทำงานหัตถกรรม

ระยะกลาง ผู้ป่วยเริ่มสับสนมากขึ้น จำคนใกล้ชิดไม่ได้ พูดจาไม่รู้เรื่อง มีอาการประสาทหลอนหรืออารมณ์แปรปรวน เช่น ซึมเศร้าหรือหุนหันพลันแล่น

ระยะท้าย ความเสียหายของสมองรุนแรงขึ้นจนผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารหรือทำกิจวัตรเองได้ ต้องพึ่งพาผู้อื่น กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง และในที่สุดไม่สามารถรับอาหารเองได้

โรคอัลไซเมอร์สามารถเกิดได้ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป ผู้ที่เริ่มมีอาการตั้งแต่อายุยังน้อยเชื่อว่ามีการกลายพันธุ์ของยีนบนโครโมโซมที่ 21, 14, หรือ 1 แล้วยีนเหล่านี้กระตุ้นการสร้าง amyloid สะสมในสมองเร็วขึ้น ส่วนผู้ที่มีอาการเมื่ออายุมากแล้วเชื่อว่าเป็นผลรวมจากสภาพแวดล้อม การดำเนินชีวิต และกรรมพันธุ์



การวินิจฉัย

การวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์อาศัยการคัดอาการแสดงเข้าและคัดโรคอื่นออก ผู้ป่วยที่มีอาการแสดงข้างต้นในเวลาหลายปีก่อนที่จะมีพฤติกรรมเปลี่ยนและการเคลื่อนไหวลำบากจะถูกคัดเข้ามาอยู่ในกลุ่มผู้ป่วยที่สงสัยว่าจะเป็นอัลไซเมอร์ ผู้ป่วยเหล่านี้ต้องได้รับการตรวจหาโรคที่มีอาการคล้ายกัน เช่น ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน ภาวะขาดวิตามินบี 12 ภาวะซึมเศร้า ภาวะสมองขาดเลือดเรื้อรัง และเนื้องอกสมองออกไปก่อน ถึงจะส่งให้แพทย์ทางระบบประสาท (neurologist) หรือแพทย์โรคผู้สูงวัย (geriatrician) เพื่อตรวจร่างกายทางระบบประสาท ประเมินสถานะทางจิต และทดสอบการเรียนรู้

ผู้ป่วยอัลไซเมอร์มักพบความบกพร่องทางสมอง 8 รูปแบบ ได้แก่ ด้านความจำ, ภาษา, ทักษะด้านความรู้สึก, ความใส่ใจ, ทักษะการตีความ, การรู้กาลเทศะและบุคคล, การแก้ปัญหา และความสามารถเชิงหน้าที่ โดยที่ยังไม่มีกล้ามเนื้ออ่อนแรง กลืนลำบาก ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด หรือขับถ่ายไม่ได้

ผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวและ CT หรือ MRI สมองไม่พบสาเหตุอื่นที่ทำให้ผู้ป่วยความจำเสื่อม จะได้รับการตรวจตัวชี้วัดทางชีวภาพของโรคอัลไซเมอร์ดังต่อไปนี้ (บางสถาบันอาจทำไม่ได้ทั้งหมด)

การตรวจพบลักษณะเหล่านี้ร่วมกับอาการและการดำเนินโรคที่สอดคล้อง สามารถยืนยันการวินิจฉัยได้โดยไม่จำเป็นต้องเจาะชิ้นเนื้อสมอง

การรักษา

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาอัลไซเมอร์ให้หายขาด การรักษามุ่งบรรเทาอาการและชะลอการดำเนินโรค ยาเพียงช่วยลดอาการความจำเสื่อมและช่วยให้คนไข้พอจะตัดสินใจอะไรได้เองในชีวิตประจำวัน ยาใช้ได้ผลเฉพาะอัลไซเมอร์ในระยะต้น เมื่อเข้าระยะกลางและระยะท้ายยาจะช่วยได้เพียง 30% ผู้ป่วยจะต้องพึ่งคนดูแลตลอดไป

ยาช่วยจำที่ใช้มี 2 กลุ่ม คือ

  1. กลุ่ม Cholinesterase inhibitors เช่น Donepezil, Galantamine, Rivastigmine ยากลุ่มนี้ช่วยเพิ่มสารสื่อประสาท Acetylcholine ทำให้การรับรู้และความจำดีขึ้น แต่มีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย เบื่ออาหาร และนอนไม่หลับ
    • Donepezil (Aricept®) ได้รับอนุมัติให้ใช้ได้ในทุกระยะของอัลไซเมอร์ โดยเริ่มขนาด 5 mg รับประทานก่อนนอนเป็นเวลา 4-6 สัปดาห์ ถ้าผู้ป่วยทนได้จึงเพิ่มเป็น 10 mg ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ระยะกลาง-ท้ายอาจเพิ่มเป็น 20 mg หลัง 3 เดือนไปแล้วยังไม่เห็นฤทธิ์ยา
    • Galantamine (Razadyne®) ได้รับอนุมัติให้ใช้ในอัลไซระยะต้น-กลาง โดยเริ่มขนาด 4 mg รับประทานทุก 12 ชั่วโมง ค่อย ๆ เพิ่มทีละ 4 mg ทุกเดือนจนอาการเริ่มดีขึ้น หากเป็น Razadyne แบบ Extended release ให้เริ่มที่ 8 mg รับประทานวันละครั้ง ตอนเช้า เพิ่มได้ทีละ 8 mg ทุกเดือนจนอาการเริ่มดีขึ้น สูงสุดไม่ควรเกินวันละ 24 mg แต่ในผู้ป่วยโรคตับและโรคไตสูงสุดไม่ควรเกินวันละ 16 mg
    • Rivastigmine (Exelon®) ได้รับอนุมัติให้ใช้ในอัลไซระยะต้น-กลาง โดยเริ่มขนาด 1.5 mg รับประทานทุก 12 ชั่วโมง แล้วเพิ่มทีละเท่าตัวทุก 2 สัปดาห์จนเริ่มเห็นว่าอาการดีขึ้น (สูงสุดไม่เกิน 6 mg ทุก 12 ชั่วโมง) ยาตัวนี้มีแบบแผ่นแปะผิวหนังด้วย โดยใช้ขนาด 4.6 mg แปะวันละครั้ง เพิ่มได้ทุก 1 เดือนเป็น 9.5 mg/วัน และ 13.3 mg/วัน ตามลำดับ ผู้ป่วยโรคตับและโรคไตควรลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง (ทั้งแบบกินและแผ่นแปะ)
  2. กลุ่ม NMDA receptor antagonist (N-Methyl-D-aspartate receptor antagonist) เช่น Memantine ออกฤทธิ์ปิดกั้นไม่ให้สารสื่อประสาท Glutamate ทำงานได้เต็มที่ การมี Glutamate สูงจะเกิดการกระตุ้นเซลล์ประสาท/เซลล์สมองมากจนเกิดการตายของเซลล์สมอง ยานี้จึงช่วยชะลอการตายของเซลล์สมอง ได้รับอนุมัติให้ใช้ในอัลไซเมอร์ระยะกลาง-ท้าย
  3. ขนาดยาเริ่มที่ 5 mg รับประทานวันละครั้ง ก่อนหรือพร้อมอาหารก็ได้ แล้วเพิ่มทีละ 5 mg ทุก 1 สัปดาห์ สูงสุดไม่เกิน 20 mg/วัน

    ยามีผลข้างเคียงทำให้ปวดศีรษะ วิงเวียน สับสน และท้องผูก ไม่ควรใช้ยา Memantine ร่วมกับยา Trihexyphenidyl, HCTZ, Amantadine เพราะจะเพิ่มผลข้างเคียงของกันและกัน

ในบางรายอาจต้องใช้ยาต้านซึมเศร้า ยาระงับอาการก้าวร้าว ยานอนหลับ หรือยาทางจิตเวชเพิ่มเติมตามอาการ

ส่วนอาหารเสริมที่ช่วยในการทำงานของระบบประสาท เช่น Caprylic acid, Coenzyme Q10, Coral calcium, Ginkgo biloba, Huperzine A, Omega-3 fatty acids, Phosphatidylserine, Tramiprosate อาจช่วยได้บ้างในระยะแรกของโรค เมื่อโรคดำเนินไปจนผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานยามากมาย แพทย์ไม่แนะนำให้รับประทานอาหารเสริมเหล่านี้อีก เพราะอาจส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยาและความผิดปกติของตับ/ไตได้

การดูแลอื่น ๆ ได้แก่ การปรับสภาพบ้านให้ปลอดภัย การติดป้ายชื่อผู้ป่วยและเบอร์ติดต่อผู้ดูแล และการควบคุมโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดัน และไขมันในเลือดสูง



การป้องกัน

เนื่องจากพยาธิกำเนิดของโรคอัลไซเมอร์ยังไม่ชัดแจ้งว่าสาร amyloid เข้ามาสะสมในสมองได้อย่างไร? ทำไมถึงไม่เป็นกับทุกคน? การป้องกันและรักษาจึงทำได้ยาก ปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาวิธีป้องกันอัลไซเมอร์ที่ได้ผล แต่นักวิชาการทั่วไปเชื่อว่าการดูแล 6 เรื่องต่อไปนี้จะช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคอัลไซเมอร์ในบั้นปลายชีวิตลงได้

  1. ออกกำลังกายอยู่เสมอ ไม่ให้อ้วนเกินไป
  2. มีการเข้าสังคม ติดต่อสื่อสารกับญาติมิตรและเพื่อนฝูงบ่อย ๆ
  3. รับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืช ให้มาก ลดของทอด ของหวาน ฟาสฟูด แอลกอฮอล์ และของหมักดอง
  4. เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เช่น วาดรูป เต้นรำ ท่องเที่ยว จะช่วยให้สมองมีการหลั่งสารสื่อประสาทออกมาติดต่อเชื่อมโยงระหว่างเซลล์อยู่เรื่อย ๆ ไม่ทำให้เซลล์ตายเร็วเกินไป
  5. พักผ่อนและนอนหลับให้เพียงพอ
  6. จัดการกับอารมณ์และความเครียดอย่างเหมาะสม

พยากรณ์โรค

โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่ดำเนินไปอย่างช้า ๆ และไม่สามารถรักษาให้หายได้ โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีอายุเฉลี่ยอยู่ได้อีก 8–12 ปีหลังเริ่มมีอาการ คุณภาพชีวิตขึ้นอยู่กับการดูแลอย่างต่อเนื่องและการควบคุมโรคร่วม

สรุป

โรคอัลไซเมอร์เป็นภาวะสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ เกิดจากการสะสมของสารผิดปกติในสมอง ทำให้เซลล์ประสาทเสื่อมและตาย ส่งผลให้เกิดความจำเสื่อมและพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง การรักษายังไม่สามารถหายขาด แต่สามารถช่วยบรรเทาอาการและชะลอโรคได้ การดูแลสุขภาพ การกระตุ้นสมอง และการเข้าสังคมอย่างสม่ำเสมอ เป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงและยืดคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

บรรณานุกรม

  1. "Alzheimer's Disease Fact Sheet." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา National Inst on Aging. (23 กันยายน 2568).
  2. "Alzheimer's disease." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (23 กันยายน 2568).
  3. "Medications for Memory." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Alzheimer's Association. (23 กันยายน 2568).