โรคเอแอลดี (Adrenoleukodystrophy, ALD)

โรคเอแอลดี (Adrenoleukodystrophy: ALD) เป็นโรคทางพันธุกรรมที่หายาก ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของยีน ABCD1 บนโครโมโซม X ทำให้เกิดความบกพร่องในการสลายกรดไขมันสายยาวมาก (Very long-chain fatty acids: VLCFAs) ส่งผลให้สารเหล่านี้สะสมในระบบประสาทส่วนกลาง ต่อมหมวกไต และอัณฑะ จนเกิดการเสื่อมของปลอกไมอีลิน (myelin) และการทำงานของต่อมหมวกไตล้มเหลว

โรคนี้พบได้ประมาณ 1 ใน 17,000 คนทั่วโลก โดยพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง เนื่องจากเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางโครโมโซม X ส่วนเพศหญิงซึ่งมียีนผิดปกติหนึ่งข้างมักไม่แสดงอาการหรือมีอาการน้อยกว่าเพศชาย

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

สาเหตุเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน ABCD1 ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการลำเลียงกรดไขมันสายยาวเข้าสู่ peroxisome เพื่อย่อยสลาย เมื่อยีนนี้ผิดปกติจะทำให้เกิดการสะสมของกรดไขมันในเซลล์ประสาทและต่อมหมวกไตจนเกิดความเสียหาย

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญได้แก่

  • มีประวัติครอบครัวเป็นโรค ALD
  • เป็นเพศชาย (เนื่องจากเป็นโรค X-linked)
  • พาหะหญิงอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการทางระบบประสาทในวัยกลางคน

อาการ

อาการของ ALD แตกต่างกันตามช่วงอายุและรูปแบบของโรค โดยสามารถแบ่งได้เป็นหลายชนิด ได้แก่

  1. Childhood cerebral ALD – พบในเด็กชายอายุ 4–10 ปี มีอาการสมองเสื่อมอย่างรวดเร็ว เช่น สมาธิสั้น การเรียนรู้ถดถอย การเดินไม่มั่นคง การมองเห็นและการได้ยินลดลง จนถึงอัมพาตหรือหมดสติ
  2. Adrenomyeloneuropathy (AMN) – พบในผู้ชายวัยผู้ใหญ่ มีอาการกล้ามเนื้อขาอ่อนแรง เดินลำบาก ปวดหลัง กลั้นปัสสาวะไม่ได้ และเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
  3. Addison-only type – แสดงอาการเฉพาะต่อมหมวกไตเสื่อม เช่น เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด ผิวคล้ำ ความดันต่ำ โดยไม่มีอาการทางสมอง


การวินิจฉัย

การวินิจฉัยโรคเอแอลดีต้องอาศัยประวัติครอบครัว การตรวจร่างกาย และการตรวจเฉพาะทางหลายวิธี ได้แก่

  • การตรวจระดับ VLCFAs ในเลือด – พบค่าสูงกว่าปกติ
  • การตรวจยีน ABCD1 – เพื่อยืนยันการกลายพันธุ์
  • การตรวจภาพสมองด้วย MRI – พบลักษณะการเสื่อมของ white matter โดยเฉพาะบริเวณ occipital และ parietal
  • การตรวจฮอร์โมน ACTH และ cortisol – เพื่อประเมินการทำงานของต่อมหมวกไต

การวินิจฉัยแยกโรค

โรค ลักษณะเด่น การตรวจที่ช่วยแยกโรค
Adrenoleukodystrophy (ALD) ชายวัยเด็กหรือผู้ใหญ่ มีอาการทางสมองและต่อมหมวกไตเสื่อม ระดับ VLCFAs สูง ตรวจยีน ABCD1, ระดับ VLCFAs, MRI สมอง
Multiple sclerosis (MS) มีการเสื่อมของปลอกไมอีลิน แต่ไม่มีความผิดปกติของต่อมหมวกไต MRI สมอง (มี lesion แบบกระจาย), ตรวจน้ำไขสันหลัง (oligoclonal bands)
Metachromatic leukodystrophy การเสื่อมของ white matter เช่นกันแต่เกิดจากการขาดเอนไซม์ arylsulfatase A ตรวจเอนไซม์ arylsulfatase A ในเลือด

การรักษา

ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่หายขาดได้ แต่มีการรักษาเพื่อลดอาการและชะลอการดำเนินของโรค ดังนี้

  • การปลูกถ่ายไขกระดูก (Hematopoietic stem cell transplantation) – ได้ผลดีในผู้ป่วยระยะเริ่มต้นของชนิด cerebral ALD
  • การให้ยา Lorenzo’s oil (ส่วนผสมของกรดโอเลอิกและกรดอีรูซิก) – ใช้ลดระดับ VLCFAs ในเลือด
  • การให้ฮอร์โมนทดแทน (Hydrocortisone, Fludrocortisone) – สำหรับผู้ที่มีภาวะต่อมหมวกไตเสื่อม
  • กายภาพบำบัด – เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยที่มีอาการทางการเคลื่อนไหวสามารถใช้ชีวิตได้ดีขึ้น
  • การดูแลด้านจิตใจและการสนับสนุนทางสังคม – มีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว


พยากรณ์โรค

พยากรณ์โรคขึ้นอยู่กับชนิดของ ALD:

  • ชนิด Childhood cerebral ALD มักดำเนินโรคอย่างรวดเร็วและเสียชีวิตภายในไม่กี่ปีหากไม่ได้รับการรักษา
  • ชนิด Adrenomyeloneuropathy (AMN) มักดำเนินโรคช้า แต่อาจเกิดความพิการเรื้อรัง
  • ชนิด Addison-only มีพยากรณ์โรคที่ดีกว่า หากได้รับฮอร์โมนทดแทนอย่างเหมาะสม

การป้องกัน

ไม่สามารถป้องกันโรค ALD ได้โดยตรง แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วย

  • การตรวจคัดกรองทางพันธุกรรมในครอบครัวที่มีประวัติ ALD
  • การให้คำปรึกษาทางพันธุกรรม (Genetic counseling) ก่อนการตั้งครรภ์
  • การตรวจยีน ABCD1 ในทารกแรกเกิดในบางประเทศ

สรุป

โรคเอแอลดี (Adrenoleukodystrophy) เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดการเสื่อมของระบบประสาทและต่อมหมวกไตจากการสะสมของกรดไขมันสายยาวมาก การวินิจฉัยทำได้โดยตรวจระดับ VLCFAs และยีน ABCD1 การรักษาเน้นการควบคุมอาการและชะลอความเสื่อม เช่น การปลูกถ่ายไขกระดูกและการให้ฮอร์โมนทดแทน แม้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การตรวจพบและรักษาแต่เนิ่น ๆ ช่วยยืดอายุและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ