โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
Osteoporosis มาจากคำภาษากรีก "porosity of bone" แปลว่า "ภาวะกระดูกล้มเหลวต่อการต้านทานการหัก" ในปีค.ศ. 1835 นายแพทย์ Lobstein ชาวฝรั่งเศสได้ตั้งชื่อนี้หลังจากที่มีศัลยแพทย์หลายท่านให้ความเห็นเกี่ยวกับลักษณะของกระดูกปกติกับกระดูกที่หักง่าย อีกห้าสิบปีถัดมานายแพทย์ต่อมไร้ท่อ Riggs และ Melton ได้ร่วมกันนำเสนอพยาธิกำเนิดของโรคนี้ว่าเกิดจาก 2 สาเหตุ (ซึ่งเป็นความเสื่อมตามวัย แก้ไขไม่ได้) คือ
- การลดระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนในหญิงที่หมดระดูแล้ว เนื่องจากฮอร์โมนเพศ (ทั้งชายและหญิง) กระตุ้นการสร้างมวลกระดูกและยับยั้งการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกยามที่กินแคลเซียมไม่พอ
- การลดระดับของวิตามินดี [25(OH)D] และลดการดูดซึมแคลเซียมในคนสูงอายุ ทำให้ต้องสลายแคลเซียมจากกระดูกมาชดเชยอยู่เรื่อย ๆ
โรคกระดูกพรุนจึงเป็นโรคที่พบได้ในผู้สูงอายุทุกคน แต่ปัจจุบันพบสาเหตุร่วมมากขึ้นหลังการค้นพบเครื่องวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกในปลายศตวรรษที่ 19 และเริ่มใช้กันอย่างแพร่หลาย
สาเหตุร่วมของการเกิดโรคกระดูกพรุน
- การไม่ได้รับแคลเซียมที่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยเด็กและวัยหนุ่ม สาว ซึ่งเป็นช่วงที่ควรสร้างความหนาแน่นของกระดูกมากที่สุด
- จากกรรมพันธุ์ ถ้าพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย มีโรคกระดูกพรุนอย่างชัดเจน โอกาสที่บุตรหลานจะเป็นโรคนี้เมื่อถึงวัย จะสูงถึง 80% (ส่วน 20% ที่เหลือนั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะในการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย)
- การรักษาโรคบางอย่าง เช่น การใช้ยาสเตียรอยด์รักษาโรคไขข้ออักเสบและโรคหืด, การฉีดยาเฮปารินรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ, การฉายรังสี, หรือการให้ยาเคมีบำบัดที่มีการทำลายเซลล์กระดูก, มีพยาธิสภาพที่ต้องผ่าตัดเอารังไข่ทั้งสองข้างออกก่อนถึงวัยหมดระดู
- การใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่หรือการดื่มสุราเป็นประจำจะลดประสิทธิภาพการดูดซึมธาตุแคลเซียม, การดื่มกาแฟมาก ๆ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น โค้ก เป๊ปซี่ ชา ก็ทำให้กระดูกเสื่อมง่ายขึ้น, การไม่เคลื่อนไหวหรือออกกำลังกาย ไม่ถูกแดด ทาครีมกันแดดเป็นประจำ จะลดการสร้างวิตามินดี ลดความแข็งแรงของกระดูก, การรับประทานยาลดกรดเป็นประจำ เพราะแคลเซียมจะดูดซึมได้ดีในภาวะที่เป็นกรดอ่อน (pH 6.5-7.0)
- โรคของระบบต่อมไร้ท่อต่าง ๆ เช่น โรคคอพอกเป็นพิษ โรคพาราไทรอยด์เป็นพิษ กลุ่มอาการคุชชิ่ง โรคเบาหวาน โรคต่อมใต้สมองไม่ทำงาน โรคโปรแลคตินเกิน
- การเจ็บป่วยเรื้อรังอื่น ๆ ที่ทำให้ลดการเคลื่อนไหว ลดการรับอาหารหรือการดูดซึมสารอาหาร
อาการของโรค
โรคกระดูกพรุนเป็นโรคแห่งความเสื่อม อาการจึงเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ดังที่พบเห็นในผู้สูงอายุทั่วไป คือ
- ปวดหลังเรื้อรัง จากกระดูกสันหลังกร่อนหรือยุบ
- ความสูงลดลง
- เดินหลังค่อม
- กระดูกหักง่ายหากล้มหรือมีอุบัติเหตุ
ข้อหลังสุดนี้ถือว่าโรคกระดูกพรุนเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงต่อกระดูกหัก ปัจจัยเสี่ยงต่อกระดูกหักอย่างอื่น (ที่อาจจะสำคัญกว่า) เช่น การมีพื้นต่างระดับอยู่ในบ้าน การขาดยางปูกันลื่นในห้องน้ำ การพักอยู่ชั้นบนที่ต้องขึ้นลงบันไดเป็นประจำ การสวมรองเท้าที่ไม่เหมาะสม การใช้ยาที่ทำให้ง่วง การมีสายตาฝ้าฟาง มีข้อเข่า/ข้อสะโพกเสื่อม มีความพิการที่ทำให้ทรงตัวไม่ดี มีอุปนิสัยรีบร้อน ไม่ระมัดระวัง เป็นต้น
แนวทางการวินิจฉัย
แพทย์จะวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก (BMD) ด้วยเครื่อง Dual energy X-ray Absorptiometry (Axial DXA) และนําค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของ BMD สูงสุดในคนหนุ่มสาว
1. กลุ่มหญิงวัยหมดระดูและชายที่อายุ > 50 ปี จะใช้ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานตาม T-score
- ถ้าได้ T-score ≥ -1 ของค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน แปลว่า มีความหนาแน่นของมวลกระดูกในระดับปกติ
- ถ้าได้ T-score อยู่ระหว่าง -1 ถึง -2.5 ของค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน แปลว่า มีกระดูกบาง
- ถ้าได้ T-score ≤ -2.5 ของค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน แปลว่า กระดูกพรุน และมีความเสี่ยงต่อกระดูกหัก
2. กลุ่มเด็ก, หญิงก่อนวัยหมดระดู และชายที่อายุ < 50 ปี จะใช้ค่า Z-score (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) ของกลุ่มประชากรสุขภาพดีที่มีอายุเท่ากัน เพศเดียวกัน และเชื้อชาติเดียวกัน
- ถ้าได้ Z-score > -2.0 แปลว่า มีความหนาแน่นของกระดูกปกติ เมื่อเทียบกับคนอายุเท่ากัน
- ถ้าได้ Z-score ≤ -2.0 แปลว่า มีความหนาแน่นของกระดูกน้อย เมื่อเทียบกับคนอายุเท่ากัน
สังเกตว่าไม่มีการวินิจฉัยโรคกระดูกพรุนในกลุ่มที่ 2.
แนวทางการรักษา
ข้อบ่งชี้
เนื่องจากโรคกระดูกพรุนเป็นโรคแห่งความเสื่อม จึงไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อีกทั้งยาที่ใช้เปลี่ยนแปลงมวลกระดูกมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย ได้ให้แนวทางการใช้ยาเมื่อมีข้อบ่งชี้ดังนี้
- หญิงวัยหมดระดู และชายอายุ > 50 ปี ที่มีกระดูกสันหลังหรือกระดูกสะโพกหักอันเนื่องมาจากภยันตรายที่ไม่รุนแรง หรือ ตรวจความหนาแน่นกระดูกด้วยเครื่อง DXA ที่ lumbar spine, femoral neck หรือ total hip แล้วพบว่ามี T score ≤ -2.5
- ใครก็ได้ที่ตรวจความหนาแน่นกระดูกด้วยเครื่อง DXA แล้วพบกระดูกบาง หรือกระดูกน้อย ร่วมกับมีปัจจัยเสี่ยงข้างล่างนี้อีก 1 ข้อ
- มีกระดูกหักอย่างน้อย 1 แห่งในตำแหน่งหลักอื่น ๆ เช่น กระดูกข้อมือ, กระดูกต้นแขน, กระดูกข้อเท้า เป็นต้น โดยเกิดจากภยันตรายที่ไม่รุนแรงภายหลังอายุ 40 ปี
- ได้รับยา glucocorticoid ในขนาดที่เทียบเท่า prednisolone 7.5 mg นานกว่า 3 เดือน
- มีโรคที่ทำให้เกิดภาวะ secondary osteoporosis เช่น DM, thyrotoxicosis, rheumatoid arthritis
- มี risk factors เหล่านี้ตั้งแต่ 2 ข้อขึ้นไป
- เป็นผู้หญิงอายุ ≥ 65 ปี หรือผู้ชาย ≥ 70 ปี
- ดัชนีมวลกาย < 19 กก./ตรม.
- มีประวัติบิดา มารดา เคยกระดูกสะโพกหักจากโรคกระดูกพรุน
- หมดระดูก่อนอายุ 45 ปี
- สูบบุหรี่จัด
- ดื่มสุราเป็นอาจิณ
- หากไม่สามารถตรวจความหนาแน่นกระดูกด้วยเครื่อง DXA ได้ อาจพิจารณาใช้ยาในหญิงที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป หรือ ชายที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ที่มีกระดูกหักจากภยันตรายที่ไม่รุนแรง และ เอกซเรย์พบภาวะกระดูกบางโดยการวินิจฉัยจากรังสีแพทย์ (มิใช่หักจากมะเร็งลุกลามไปบริเวณนั้น)
ยาที่ใช้
ยาที่ใช้รักษาโรคกระดูกพรุน ได้แก่
- ยากลุ่ม Bisphosphonates เป็นยาที่แนะนำให้ใช้
เป็นตัวแรกในการรักษาโรคกระดูกพรุน ยากลุ่มนี้เป็นอนุพันธ์ของ pyrophosphate มีโครงสร้างหลักเป็นคาร์บอนกับฟอสฟอรัส สามารถยับยั้งการสลายตัวของผลึกเกลือแคลเซียมฟอสเฟต และยังสามารถจับกับสารไฮดรอกซีอะพาไทท์ (Hydroxyappatite) ในกระดูกได้ดี ทำให้ป้องกันการ
สลายตัวของไฮดรอกซีอะพาไทท์ในกระดูกได้ แต่ถ้าใช้ต่อเนื่อง
ยาวนานก็อาจกดการหมุนเวียนของกระดูกมากเกินไป ทำให้กระดูกขากรรไกรตาย (jaw necrosis) หรือกระดูกหักแบบผิดปกติ (atypical fracture) ยากลุ่มนี้มีหลายตัว เช่น
- Alendronate ขนาด 70 mg รับประทานสัปดาห์ละครั้ง และมีแบบผสมกับวิตามินดี 3 5,600
IU รับประทานสัปดาห์ละครั้ง
- Risedronate ขนาด 35 mg รับประทานสัปดาห์ละครั้ง
- Ibandronate ขนาด 150 mg รับประทานเดือนละครั้ง
- Zoledronate แบบฉีด 5 mg เข้าหลอดเลือดดำปีละครั้ง โดยให้ช้า ๆ ในเวลา 15 นาที
ยาเม็ดกลุ่มนี้ต้องรับประทานในขณะท้องว่าง เนื่องจากยาดูดซึมยาก และต้องทิ้งระยะห่างจากอาหารอีก 60 นาที
** ผลข้างเคียงที่สำคัญของยากลุ่ม Bisphosphonates คือ
- ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง กรดไหลย้อน หลอดอาหาร
อักเสบ ในระยะยาวอาจเกิดมะเร็งหลอดอาหารได้ หลังรับประทานยาควรดื่มน้ำตาม 1-2 แก้วและไม่ควรนอนราบทันที ควรรอ 30-60 นาที ผู้ป่วยที่ไม่สามารถลุกนั่งได้อาจเลือกใช้ยาฉีดแทน
- ผลข้างเคียงต่อไต ทำให้การทำงานของไตแย่ลงได้ จึงไม่ควรใช้หากมีค่าอัตราการกรองของไต (GFR) < 30-35 มล./นาที
- กระดูกขากรรไกรตาย มักพบในผู้ที่ใช้ยาในขนาดสูง ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ที่เคยฉายรังสีบริเวณศีรษะและคอ ผู้ที่ได้รับยาสเตียรอยด์ และผู้ที่ใช้ยานานเกิน 5 ปี ดังนั้นก่อน
จะเริ่มยากลุ่มนี้ต้องตรวจฟัน และควรทำการถอนฟันหรือผ่าตัดให้เสร็จก่อนเริ่มยา
- กระดูกต้นขาหักแบบผิดปกติ (atypical femoral fracture) โดยมีลักษณะคือ เกิดกระดูกหักหลังมีแรงกระทบเพียงเล็กน้อย, ตำแหน่งที่หักอยู่ต่ำกว่า lesser trochanter, หักตามแนวขวางหรือทะแยงเล็กน้อย (transverse or short oblique), ไม่หักเป็นชิ้นเล็ก ๆ (noncomminuted or
minimaly comminuted), อาจพบลักษณะ medial spike, periosteal หรือ endosteal thickening ของ
lateral cortex และ cortex หนาตัว, อาจพบหักทั้ง 2 ข้าง, และกระดูกจะติดกันช้า
- ยาฉีดกลุ่มนี้อาจทำให้มีอาการไข้ ปวดเนื้อปวดตัว หลังได้รับยาเข็มแรกภายใน 24-36 ชั่วโมง อาการสามารถหายเองได้ใน 1- 3 วัน และมักจะไม่เกิดขึ้นอีกในการรับยาครั้งต่อ ๆ ไป
ยากลุ่มนี้จับอยู่ในกระดูกเป็นเวลานาน เมื่อหยุดยาจึงยังมีประสิทธิภาพในการป้องกันกระดูกหักได้ เพื่อลดผลข้างเคียงของยาจึงควรพิจารณาหยุดยาหลังกินไป 5 ปี หรือฉีดไป 3 ปี เรียกว่า drug holiday หยุดนานเท่าไหร่ขึ้นกับการติดตาม BMD และ bone turnover marker ให้พิจารณาเริ่มยาใหม่หาก BMD ลดลง หรือ bone turnover marker เพิ่มขึ้น หรือเกิดกระดูกหัก
- ยา Denosumab เป็น human monoclonal antibody ต่อ RANK Ligand ทำให้ไม่สามารถไปกระตุ้น osteoclast precursor ให้พัฒนาไปเป็น active osteoclast ได้ (osteoclast เป็นเซลล์ที่สลายกระดูก) ทำให้ลดการสลายกระดูก
ยาอยู่ในรูปฉีด ขนาด 60 mg ฉีดเข้าใต้ผิวหนังทุก 6 เดือน ยาไม่ขับออกทางไต จึงสามารถใช้ได้ในผู้ป่วยโรคไต และไม่สะสมในกระดูกเหมือนยากลุ่ม Bisphosphonates ดังนั้นเมื่อหยุดยาจะไม่มีผลต่อเนื่อง
- ยา Calcitonin เป็นโปรตีนที่สร้างจากต่อมไทรอยด์ ลดการสลายกระดูกโดยยับยั้งการทำงานของ osteoclast จากการศึกษาพบว่าสามารถลด vertebral fracture แต่ไม่สามารถลด nonvertebral และ hip fracture ได้ จึงไม่แนะนำให้ใช้เป็นยาตัวแรก ประโยชน์หลักของยา Calcitonin คือลดอาการปวดในผู้ป่วยที่มีกระดูกสันหลังยุบ โดยจะลดการใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม opioids และทำให้เคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น ขนาดยา Calcitonin คือ 200IU/วัน พ่นจมูกสลับข้างกันเพื่อลดการระคายเคืองเยื่อบุโพรงจมูก
- ฮอร์โมนเอสโตรเจน เป็นฮอร์โมนที่ยับยั้งการสลายกระดูก ลดการขับแคลเซียมออกจากไต และเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในทางเดินอาหาร การให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนช่วยลดกระดูกหักทั้ง vertebral และ hip fracture แต่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม, เส้นเลือดดำอุดตัน, หัวใจขาดเลือด, และโรคหลอดเลือดสมอง จึงแนะนำให้ใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนเพื่อลดอาการวัยทองเท่านั้น และควรใช้ขนาดน้อยที่สุดในระยะเวลาสั้นที่สุด ไม่แนะนำให้ใช้เป็นยาตัวแรกในการรักษาโรคกระดูกพรุน
- ยา Raloxifene เป็นยาในกลุ่ม estrogen agonist/antagonist หรือ Selective Estrogen Receptor Modulators (SERMS) โดยหากจับกับ estrogen receptor ที่กระดูกจะเสริมฤทธิ์ (agonist) ของฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่เมื่อจับกับ estrogen receptor ที่เต้านมจะต้านฤทธิ์ (antagonist) จึงลดการสลายกระดูกโดยไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม แต่ยังมีผลข้างเคียงเรื่องการเกิดเส้นเลือดดำอุดตันเช่นเดียวกับเอสโตรเจน และมีผลลด vertebral fracture แต่ไม่ช่วยลด non-vertebral และ hip fracture
- ฮอร์โมนพาราไทรอยด์ มี 2 รูปแบบได้แก่ recombinant PTH 1-34 (ยา Teriparatide) ขนาด 20 mcg และ recombinant hormone PTH 1-84 ขนาด 100 mcg ฉีดเข้าใต้ผิวหนังวันละครั้ง Teriparatide ลดทั้ง vertebral และ non-vertebral fracture แต่ PTH 1-84 ลดเฉพาะ vertebral fracture และทั้ง 2 ชนิดไม่มีข้อมูลว่าช่วยลด hip fracture
ผลข้างเคียงของยาพบว่าเกิดปฏิกิริยาบริเวณที่ฉีดยาได้ และอาจพบอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวด
มึนเวียนศีรษะ ตะคริว อาจทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูงขี้น นอกจากนี้ยังพบอุบัติการณ์ของมะเร็งกระดูก (osteogenic sarcoma) เพิ่มขึ้นในสัตว์ทดลองที่ใช้ยามากกว่า 2 ปี ปัจจุบันจึงไม่แนะนำให้ใช้ยานี้นานเกิน 2 ปี
เนื่องจากยามีราคาสูงและมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระดูก จึงควรใช้เป็นยาลำดับที่ 2 (second-line therapy) หรือใช้ในรายที่เป็นกระดูกพรุนรุนแรงเท่านั้น
- ยา Strontium ranalate พบว่าลดได้ทั้ง vertebral, non-vertebral และ hip fracture ยาเป็นผง ต้องนำมาละลายน้ำ ดื่มขณะท้องว่าง จึงแนะนำให้กินก่อนนอน ขนาด 2 กรัมต่อวัน
ผลข้างเคียงคือ คลื่นไส้ ท้องเสีย เส้นเลือดดำอุดตัน และมีรายงานการเกิดแพ้ยาแบบ DRESS
(drug rash with eosinophilia and systemic symptom)
- แคลเซียมและวิตามินดี ควรรับประทานคู่กัน เพราะวิตามินดีช่วยดูดซึมแคลเซียมในทางเดินอาหาร ขนาดยาที่เหมาะสมยังไม่มีการศึกษาแน่ชัด ปัจจุบันแนะนำให้รับประทานแคลเซียม 1200 mg/วัน และวิตามินดี 800 IU/วัน สำหรับผู้ที่ตรวจพบกระดูกพรุนจากเครื่อง DXA (ไม่ใช่หญิงวัยหมดระดูทุกคน เพราะแคลเซียม+วิตามินดีไม่สามารถป้องกันกระดูกหักได้ แต่กลับเพิ่มอุบัติการณ์ของนิ่วที่ไต)
หลังเริ่มการรักษา ควรประเมินผลด้วยการ
- วัดความสูงปีละครั้ง หากเตี้ยลงมากกว่า 2 ซม. ควรถ่ายภาพรังสีกระดูกสันหลังว่ามีการยุบหรือไม่
- ติดตามความหนาแน่นกระดูกด้วย DXA ทุก 2 ปี โดยการเปลี่ยนแปลงของค่าความหนาแน่นอย่างมีนัยสำคัญคือ เปลี่ยนแปลงมากกว่าร้อยละ 3 ที่กระดูกสันหลัง และมากกว่าร้อยละ 5 ที่กระดูกสะโพก
ความล้มเหลวในการรักษา คือ
- เกิดกระดูกหักตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปในระหว่างการรักษา
- Bone remodelling markers ไม่ลดลงหลังการให้ยาลดการสลายกระดูก
- BMD ยังคงลดลงเรื่อย ๆ โดยลดมากกว่าร้อยละ 3 ที่กระดูกสันหลังและมากกว่าร้อยละ 5 ที่กระดูกสะโพก
หากพบความล้มเหลวในการรักษาควรหาสาเหตุ เช่น รับประทานยาไม่ถูกวิธี ไม่สม่ำเสมอ หรือมีสาเหตุร่วมอื่น ๆ ข้างต้น หากไม่พบสาเหตุเพิ่มควรพิจารณาเปลี่ยนยา
วิธีป้องกันโรคกระดูกพรุน
- ออกกำลังกายแบบลงน้ำหนักและมีการใช้แรงต้าน เช่น วิ่งเหยาะ เดินสลับวิ่ง เดินขึ้นบันได กระโดดเชือก เต้นแอโรบิก สำหรับผู้สูงอายุควรออกกำลังกายที่เบาและช้าลง เช่น รำมวยจีน รำจี้กง รำไท้เก็ก และควรออกกำลังกายคราวละอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นอย่างน้อย
- รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ปลาตัวเล็กตัวน้อย กุ้งแห้ง กะปิ เต้าหู้ ใบชะพลู ใบยอ ใบมะกรูด ผักคะน้า ผักกระเฉด มะเขือพวง งาดำ ตามคำแนะนำของกรมอนามัย โดยให้ได้แคลเซียมวันละ 800-1200 มิลลิกรัม/วัน
- รับแสงแดดอย่างเพียงพอ เพื่อให้ผิวหนังสร้างวิตามินดี ซึ่งจะช่วยให้ลำไส้ดูดซึมแคลเซียมได้ มีรายงานว่าการรับแสงแดดเพียง 30 นาที ผิวหนังจะสามารถสร้างวิตามินดีได้ถึง 200 ยูนิต โดยเวลาที่เหมาะสมคือ 8.00 – 10.00 น. และ 15.00 – 17.00 น.
- งดการดื่มสุรา และสูบ
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่เสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
- ปรับสิ่งแวดล้อมเพื่อลดโอกาสหกล้ม เช่น เก็บสายไฟไม่ให้เกะกะตามพื้น เช็ดพื้นที่เปียกน้ำทันที ติดแผ่นยางกันลื่่นในห้องน้ำ ติดไฟตามทางเดินให้เพียงพอ เปลี่ยนแว่นสายตาหากมองภาพไม่ชัด
บรรณานุกรม
- Lorentzon M., Cummings S.R. 2015. "Osteoporosis: the evolution of a diagnosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา JIM 2015;277(6):650-661. (15 ธันวาคม 2562).
- พญ. ปียฉัตร คงเมือง. "โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)." [ระบบ
ออนไลน์]. แหล่งที่มา โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี. (15 ธันวาคม 2562).
- "What are the main risk factors for falls
amongst older people and what are the
most effective interventions to prevent
these falls?." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา WHO Europe. (16 ธันวาคม
2562).
- "Osteoporosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Mayo Clinic. (16 ธันวาคม 2562).
- รศ.ดร.ภญ.บุษบา จินดาวิจักษณ์. 2014. "แคลเซียมกบโรคกระดูกพรุน ตอนที่ 2." [ระบบ
ออนไลน์]. แหล่งที่มา คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล. (18 ธันวาคม 2562).