โรคตับแข็ง (Cirrhosis)

ตับเป็นอวัยวะขนาดใหญ่ วางอยู่ในช่องท้องด้านขวาบน ใต้กระบังลม มีน้ำหนักโดยเฉลี่ย 1800 กรัมในผู้ชาย และ 1400 กรัมในผู้หญิง ตับมีหน้าที่สำคัญ คือ สร้างน้ำดีเพื่อช่วยย่อยและดูดซึมไขมัน กำจัดสารพิษ ยา และของเสียออกจากร่างกาย สร้างโปรตีนที่ใช้ในการแข็งตัวของเลือด และเป็นแหล่งสะสมไกลโคเจน วิตามินเอ ดี อี เค ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานเมื่อร่างกายขาดอาหาร

โรคตับแข็งเป็นภาวะเสื่อมของตับที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง จนเกิดมีพังผืดแทรกอยู่ในเนื้อตับ เมื่อตับมีพังผืดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื้อเยื่อตับที่เหลืออยู่จะพยายามซ่อมแซมตัวเอง จึงเกิดเป็นปุ่มก้อนเนื้อขึ้นทั่วทั้งตับ เนื้อตับแข็งขึ้น ทำหน้าที่ได้น้อยลง และบางรายอาจนำไปสู่มะเร็งตับในที่สุด

สาเหตุของโรคตับแข็ง

ปัจจัยสำคัญที่พบมากในประเทศไทย ได้แก่

  • การดื่มสุราเรื้อรัง
  • การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี หรือ ซี เรื้อรัง
  • ยาและยาสมุนไพรบางชนิด
  • ภาวะไขมันพอกตับ มักพบในผู้ที่อ้วน เบาหวาน หรือมีไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง
  • โรคตับอักเสบจากภูมิต้านตนเอง
  • ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง

สาเหตุที่พบน้อย เช่น

  • โรคทางพันธุกรรม ได้แก่ Wilson's disease (สะสมทองแดงในตับ), Hemochromatosis (สะสมธาตุเหล็กมากเกินไป), Alpha-1-antitrypsin deficiency (ทำให้ปอดและตับเสียความยืดหยุ่น)
  • โรคที่ทำให้ท่อน้ำดีตีบตันหรือแข็งตัว


อาการของโรคตับแข็ง

ในระยะเริ่มแรก เช่น ระยะน้ำดีคั่ง (steatosis) หรือระยะพังผืด (fibrosis) มักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเข้าสู่ระยะตับแข็งจะเริ่มมีอาการจาก แรงดันเลือดพอร์ทัลสูง (Portal hypertension) และ ภาวะตับวาย (Liver failure)

ผลของแรงดันเลือดพอร์ทัลสูง

  • มีหลอดเลือดดำขอดที่หลอดอาหาร (Esophageal varices) ซึ่งแตกง่าย ถ้าแตกก็จะมีเลือดออกมากในทางเดินอาหาร ทำให้อาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายอุจจาระเละ ๆ สีดำ
  • มีริดสีดวงทวาร ซึ่งก็เป็นหลอดเลือดดำขอดอีกชนิดหนึ่ง หากแตกก็จะถ่ายเป็นเลือดแดงสด
  • ม้ามโต
  • มีน้ำในช่องท้อง (ท้องมาน)
  • มีหลอดเลือดดำขอดที่หน้าท้อง (Caput medusae)
  • ท้องอืด เบื่ออาหาร

ผลของภาวะตับวาย

  • ตัวเหลือง ตาเหลือง ผิวคล้ำดำ คันตามผิวหนัง
  • ซึม ไม่สดชื่น อาจสับสน ไม่รู้สึกตัว
  • ลมหายใจมีกลิ่นแอมโมเนีย (Fetor hepaticus)
  • มีจ้ำเลือดตามผิวหนังง่าย เลือดกำเดาไหล เลือดแข็งตัวช้า
  • เห็นหลอดเลือดฝอยขึ้นตามผนังทรวงอก (Spider nevi)
  • ฝ่ามือแดง (Palmar erythema)
  • มือสั่น/กระตุก (Liver flap, Flapping tremor)
  • เต้านมโตในผู้ชาย รอบเดือนผิดปกติในผู้หญิง
  • ลูกอัณฑะฝ่อ สมรรถภาพทางเพศลดลง
  • ขาบวม จากอัลบูมินในเลือดต่ำ
  • การทำงานของไตแย่ลง ค่าครีเอตินีนสูงขึ้น
  • ซีด อ่อนเพลีย เล็บขาว เกร็ดเลือดต่ำ นิ้วปุ้ม

การวินิจฉัย

เช่นเดียวกับภาวะไตวายระยะสุดท้าย โรคตับแข็งไม่ได้เกิดขึ้นในวันสองวัน ก่อนจะเข้าสู่ระยะนี้ท่านต้องมีพฤติกรรมการดื่มสุรามานาน หรือมีไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง หรือมีโรคอ้วนและไขมันพอกตับจากการตรวจสุขภาพ หรือมีนิ่วในท่อน้ำดี หรือเป็นโรคอื่นที่ส่งผลต่อตับเป็นเวลานาน เมื่อเข้าสู่ระยะตับแข็งอาการแสดงต่าง ๆ ข้างต้นจะชัดขึ้นเรื่อย ๆ แพทย์สามารถยืนยันการวินิจฉัยโรคได้ด้วยการเจาะเลือดตรวจการทำงานของตับและไต ตรวจนับเม็ดเลือดและการแข็งตัวของเลือด ตรวจอัลตราซาวด์ตับ ซึ่งสามารถบอกลักษณะของเนื้อตับว่าเริ่มมีก้อนที่สงสัยมะเร็งเกิดขึ้นหรือยัง ลักษณะของท่อน้ำดีว่ามีนิ่วหรือเนื้องอกอยู่หรือไม่ ขนาดของม้าม ปริมาณน้ำในช่องท้อง ลักษณะของหลอดเลือดดำของทางเดินอาหารและของพอร์ทัลที่เข้าตับว่าสูงขนาดไหน มีลิ่มเลือดอยู่ภายในหรือไม่ และลักษณะของหลอดเลือดแดงในตับ (แพทย์อาจส่งทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้องเพิ่มหากผลอัลตราซาวด์เห็นไม่ชัดเจน)

โรคตับแข็งแบ่งเป็น 3 ระยะตาม Child-Pugh score หรืออาจแบ่งเป็น Compensated cirrhosis กับ Decompensated cirrhosis ส่วนใหญ่ถ้ายังไม่มีท้องมาน มีตาเหลืองเพียงเล็กน้อย กลุ่มนี้มักอยู่ได้เกิน 1 ปี แต่ถ้าเริ่มมีน้ำในช่องท้องแล้ว โอกาสเสียชีวิตจะเร็วขึ้น



แนวทางการรักษา

โรคตับแข็งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การดูแลจึงเน้นที่การป้องกันและประคับประคองอาการ ได้แก่

การดูแลด้านโภชนาการ

ระยะเริ่มแรก ผู้ป่วยยังสามารถรับประทานโปรตีนได้ตามปกติ เน้นผัก ผลไม้ และไขมันดี เช่น MCT oil, น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันรำข้าว แหล่งพลังงานหลักควรเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต เผือก มัน ฟักทอง ข้าวโพด ส่วนผู้ที่มีท้องมานแล้วควรลดโปรตีน จำกัดน้ำและเกลือ

ภาวะแทรกซ้อนที่ต้องเฝ้าระวัง

การปลูกถ่ายตับ (Liver transplantation)

เป็นความหวังในการยืดอายุผู้ป่วยตับวายได้อีกระยะหนึ่ง แต่ยังมีข้อจำกัด เช่น ค่าใช้จ่ายสูง ขาดแคลนผู้บริจาค และความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด อีกทั้งผู้ป่วยต้องกินยากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต ผลการปลูกถ่ายตับที่ดีมักเกิดเฉพาะในผู้ป่วยบางรายที่มีสุขภาพแข็งแรงและไม่มีโรคประจำตัวเท่านั้น

ผู้ป่วยที่ไม่เข้าเกณฑ์รอปลูกถ่ายตับได้แก่

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวร้ายแรงที่รักษาไม่ได้ เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคไต โรคมะเร็งระยะแพร่กระจาย โรคติดเชื้อที่ดื้อยาหรือเรื้อรัง โรคจิตประสาท
  • ผู้ป่วยที่ติดสุราหรือสารเสพติด
  • ผู้ที่ไม่สามารถมาพบแพทย์เพื่อติดตามการรักษาหลังผ่าตัดได้อย่างต่อเนื่อง
  • ผู้ที่มีพฤติกรรมไม่ร่วมมือ ฝ่าฝืนคำสั่งแพทย์ หยุดหรือปรับยาเอง

หากได้รับการคัดเลือก แพทย์จะส่งเข้าใน "waiting list" ซึ่งจะต้องรอตับจากผู้บริจาคที่เข้าได้กับตน ผู้บริจาคที่ดีต้องมีอายุมากกว่า 18 ปี มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง มีสภาวะทางจิตใจปกติ ปราศจากโรคเอดส์ ไวรัสตับอักเสบ พิษสุราเรื้อรัง มะเร็ง หัวใจ โรคปอด เบาหวานที่เป็นมานานกว่า 7 ปี และโรคทางจิตเวชที่กำลังรักษาอยู่

ผลการปลูกถ่ายตับในปัจจุบันค่อนข้างดี ร้อยละ 88 อยู่ได้เกิน 1 ปี, ร้อยละ 73 อยู่ได้เกิน 5 ปี (ด้วยคุณภาพชีวิตที่ต้องพบแพทย์เป็นประจำและรับประทานยาอย่างเคร่งครัด)

การปลูกถ่ายตับไม่ใช่ความหวังที่สวยหรู เพราะมีภาวะแทรกซ้อนหลังการปลูกถ่ายตับมากมายรออยู่ อาทิ ท่อน้ำดีรั่วหรือฝ่อไปเอง เกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดแดงตับหรือหลอดเลือดดำพอร์ทัล เลือดออกง่าย ติดเชื้อ ตับใหม่ปฏิเสธผู้รับ สับสนหรือชักจากภาวะตับวายอีกครั้ง นอกจากนั้นยากดภูมิที่ต้องรับประทานไปตลอดยังอาจทำให้เกิดภาวะกระดูกบาง เบาหวาน ท้องเสีย ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูงขึ้น และไขมันในเลือดสูงขึ้น ซึ่งอาจต้องใช้ยาควบคุมเพิ่มเข้าไปอีก

สรุป

โรคตับแข็งเป็นภาวะเสื่อมของตับที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง สาเหตุหลักคือการดื่มสุราและการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยมักไม่มีอาการในระยะแรก แต่เมื่อเข้าสู่ระยะรุนแรงจะมีภาวะแทรกซ้อนหลายประการ เช่น ท้องมาน เลือดออก ตับวาย การวินิจฉัยอาศัยการตรวจเลือดและภาพถ่ายรังสี การรักษาเป็นแบบประคับประคองและป้องกันภาวะแทรกซ้อน การปลูกถ่ายตับเป็นวิธีรักษาที่ช่วยยืดอายุได้แต่มีข้อจำกัดมาก การป้องกันโดยเลิกสุรา ฉีดวัคซีน ปรับพฤติกรรมการกิน และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

บรรณานุกรม

  1. S. Paul Starr and Daniel Raines. 2011. "Long-term effects of dialysis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Am Fam Physician. (24 กันยายน 2568).
  2. "KASL clinical practice guidelines for liver cirrhosis: Ascites adn related complications." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Clin Molecular Hepatology 2018;24:230-277. (24 กันยายน 2568).
  3. Paolo Angeli, et al. 2018. "EASL clinical practice guidelines for the management of patients with decompensated cirrhosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา J of Hepatology. (24 กันยายน 2568).
  4. "Liver transplantation." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Mayo Clinic. (24 กันยายน 2568).