ไตวายระยะสุดท้าย (End-stage renal disease, ESRD)

ภาวะไตวายระยะสุดท้าย หรือระยะที่ 5 ของโรคไตเรื้อรัง เป็นภาวะที่ไตไม่สามารถทำงานได้เพียงพอจนผู้ป่วยไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ หากไม่ได้รับการล้างไตเป็นประจำหรือการปลูกถ่ายไต ก่อนถึงระยะนี้ ผู้ป่วยต้องผ่านการดำเนินโรคตั้งแต่ ภาวะไตเสื่อมหรือวาย ระยะที่ 2-4 มาก่อน ซึ่งระยะเหล่านี้ใช้เวลาหลายปีถึงหลายสิบปี แต่เมื่อเข้าสู่ระยะที่ 4 แล้ว มักจะดำเนินไปสู่ระยะสุดท้ายได้รวดเร็วขึ้น

การจำแนกระยะของโรคไตเรื้อรังอาศัยค่าการกรองของเสียของไต (GFR) โดยค่าปกติอยู่ที่ 90–120 มิลลิลิตร/นาที หากลดลงต่ำกว่า 15 ml/min/1.73m2 ถือว่าเข้าสู่ระยะสุดท้าย

สาเหตุของภาวะไตวาย

สาเหตุของไตวายมีทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง โดยไตวายเฉียบพลันมักเกิดจากภาวะอุดกั้นทางเดินปัสสาวะทันทีทันใด หรือจากความดันโลหิตที่ลดต่ำลงอย่างรุนแรง ส่วนภาวะไตวายเรื้อรังเกิดจาก

  • โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง (แม้จะควบคุมได้ดีก็ตาม)
  • โรคของไตเอง เช่น หน่วยไตอักเสบเรื้อรัง, ถุงน้ำที่ไต, โรคไตจากภูมิคุ้มกัน, โรคไตจากพันธุกรรม, โรคไตจากยาและสารพิษ, โรคหลอดเลือดไตอุดตัน
  • การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเรื้อรัง
  • ภาวะต่อมลูกหมากโตจนทำให้ปัสสาวะอุดกั้นเป็นเวลานาน
  • โรคเลือดที่มีเม็ดเลือดแดงแตกบ่อย ๆ

อาการและอาการแสดงของภาวะไตวายระยะสุดท้าย

อาการหลัก

อาการแสดง



การวินิจฉัย

การเข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้ายเป็นกระบวนการที่ค่อย ๆ เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายปี แพทย์จะติดตามค่าการทำงานของไตและอาการของผู้ป่วยเป็นระยะ ๆ การตรวจอัลตราซาวด์ไตช่วยยืนยันภาวะนี้ โดยมักพบว่า

แนวทางการรักษา

เมื่อเข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้าย ผู้ป่วยต้องได้รับการล้างไตเป็นประจำหรือการปลูกถ่ายไต จึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้

  1. การล้างไตเป็นประจำ มี 2 วิธี คือ
    • การฟอกเลือด (Hemodialysis)
    • ใช้เครื่องไตเทียมกรองของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย โดยใช้เวลาครั้งละ 4–5 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง มีข้อดีคือขจัดน้ำและของเสียได้รวดเร็ว และแพทย์สามารถปรับสมดุลเกลือแร่ในน้ำยา Dialysate ได้ตามระดับความผิดปกติก่อนฟอกแต่ละครั้ง แต่ข้อเสียคือผู้ป่วยต้องเดินทางมาฟอกเลือดสม่ำเสมอ เสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือด และอาจทำให้หัวใจและหลอดเลือดเสื่อมในระยะยาว

      ก่อนฟอกเลือดครั้งแรกต้องมีการเตรียมหลอดเลือดก่อน ซึ่งมี 2 วิธีคือ 1. ต่อเส้นเลือดดำกับแดงที่แขน แล้วใช้ตำแหน่งนั้นต่อเข้ากับเครื่องไตเทียม 2. คาสายสวนหลอดเลือดดำใหญ่ไว้ ซึ่งอาจเป็นที่คอหรือขาหนีบ แล้วต่อสายสวนเข้ากับเครื่องไตเทียม

    • การล้างช่องท้อง (Peritoneal dialysis)
    • ใช้เยื่อบุช่องท้องเป็นตัวกรอง โดยใส่น้ำยาเข้าไปในช่องท้องแล้วปล่อยออกเป็นรอบ ๆ ทำได้เองที่บ้าน มีข้อดีคืออิสระมากกว่า ไม่ต้องไปศูนย์ฟอกเลือด และไม่ทำให้หลอดเลือดกรอบแข็งในระยะยาว แต่ข้อเสียคือเสี่ยงติดเชื้อช่องท้อง สูญเสียโปรตีนออกมาทางน้ำยาในแต่ละวัน หากบริโภคไม่เพียงพอจะเกิดการขาดอาหาร และอาจรู้สึกอึดอัดเมื่อน้ำยาอยู่ในท้อง

      ก่อนล้างครั้งแรก ศัลยแพทย์จะผ่าตัดเพื่อวางสายล้างช่องท้องไว้ในอุ้งเชิงกราน เปิดสายออกที่หน้าท้อง การล้างอาจจะใช้เครื่อง APD (Automated peritoneal dialysis) หรือใช้มือปล่อยเข้าออกเองที่เรียกว่า CAPD (Continuous ambulatory peritoneal dialysis)

      เครื่อง ADP จะใช้แรงดันปล่อยน้ำยาเข้าและดูดออกตามจำนวนรอบที่เราตั้งไว้ตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันเราถอดเครื่องออกไปทำงานได้ วิธีนี้ค่อนข้างสะดวกแต่มีค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องครั้งแรก

      หากใช้วิธีปล่อยเข้าออกเองก็ทำตามรูปข้างล่าง ตอนพักน้ำอยู่ในท้องผู้ป่วยก็สามารถไปไหนมาไหนได้เช่นกัน เพียงแต่อาจจะรู้สึกหนักตัวเพราะมีน้ำคาอยู่

    อาหารสำหรับผู้ป่วยล้างไต

    การฟอกเลือดจะสูญเสียโปรตีนออกไปครั้งละ 10-12 กรัม การล้างช่องท้องจะสูญเสียโปรตีนออกไปวันละ 5-15 กรัม ดังนั้นผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับโปรตีนวันละ 1.2-1.3 กรัม/น้ำหนักตัว (kg) เช่น ถ้าหนัก 50 kg ต้องรับประทานโปรตีนวันละ 60-65 กรัม โดยเน้นเนื้อปลา ไข่ นม ถั่ว

    นอกจากนี้ควรเน้นผัก ผลไม้ และธัญพืช ลดอาหารปรุงแต่งหรืออาหารแปรรูป ส่วนการดื่มน้ำ ควรจำกัดเท่ากับปริมาณปัสสาวะของวันก่อนหน้า + 500–750 มล.



  2. การปลูกถ่ายไต
  3. เป็นการผ่าตัดใส่ไตใหม่จากผู้บริจาคเข้าร่างกายผู้ป่วย ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตไม่จำเป็นต้องล้างไตอีก หากไตใหม่ทำงานได้ดี แต่ต้องกินยากดภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต ซึ่งมีราคาแพงและเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ การปลูกถ่ายไตช่วยยืดอายุและคุณภาพชีวิตได้มาก แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะสมสำหรับวิธีนี้

    การเข้าคิวรับบริจาคไตจากผู้ที่เสียชีวิตที่มีส่วนประกอบของเลือดเข้าได้กับผู้รับใช้เวลานานหลายเดือน ระหว่างนี้ผู้ป่วยไตวายจำเป็นต้องใช้วิธีฟอกเลือดหรือล้างช่องท้องประทังไปก่อน และผู้ป่วยจะต้อง

    • ไม่มีโรคมะเร็งติดต่อกันเป็นเวลา 2 ปี
    • ไม่มีโรคของหลอดเลือดแดงใหญ่ (Aortoiliac disease)
    • ไม่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ/ตันขั้นรุนแรง, ภาวะหัวใจล้มเหลว, หรือโรคปอดเรื้อรังที่เหนื่อยหอบอยู่เสมอ
    • ไม่มีภาวะตับแข็ง
    • ไม่มีการติดเชื้อ HIV
    • ไม่ได้อยู่ในภาวะขาดอาหารขั้นรุนแรง
    • ไม่มีอุปนิสัยชอบปรับยาเองตามอำเภอใจ หรือละเลยการรับยาตามคำสั่งแพทย์
    • มีครอบครัวหรือคนในสังคมคอยช่วยเหลือหลังปลูกถ่ายไต

    เมื่อได้ไตที่บริจาคมาแล้ว ศัลยแพทย์จะผ่าตัดฝังไตใหม่ ต่อเส้นเลือด และต่อท่อไตเข้ากับกระเพาะปัสสาวะ (ไม่มีการเอาไตเก่า) หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนจะนานโรงพยาบาลประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้นแพทย์จะนัดติดตามการทำงานของไตใหม่อยู่เรื่อย ๆ เพราะถึงแม้รับประทานยากดภูมิต้านทานแล้ว ร่างกายก็ยังอาจสร้างปฏิกิริยาต้านไตใหม่ได้อยู่ นอกจากนั้นยากดภูมิอาจทำให้ร่างกายติดเชื้อฉกฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น

จะเห็นได้ว่า เมื่อเข้าสู่ภาวะไตวายแล้ว การประทังชีวิตจะไม่ราบรื่นอีกต่อไป ผู้ป่วยและครอบครัวจึงควรร่วมกับแพทย์ในการตัดสินใจเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุด

สรุป

ไตวายระยะสุดท้ายเป็นภาวะที่ไตสูญเสียการทำงานเกือบทั้งหมด ผู้ป่วยจำเป็นต้องพึ่งพาการล้างไตหรือการปลูกถ่ายไตเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อ การดูแลรักษาเป็นเรื่องซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง แต่หากได้รับการรักษาที่เหมาะสมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ผู้ป่วยยังคงสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้

บรรณานุกรม

  1. "End-stage renal disease." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Mayo Clinic. (24 กันยายน 2568).
  2. "Dialysis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา NHS. (24 กันยายน 2568).
  3. "Long-term effects of dialysis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Kidney School. (24 กันยายน 2568).
  4. "Kidney transplantation." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (24 กันยายน 2568).