โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Diabetes Mellitus Type 2)
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (T2DM) เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) ร่วมกับการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนที่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างต่อเนื่อง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อหลอดเลือด หัวใจ ไต และระบบประสาท
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคที่พบมากที่สุดในกลุ่มเบาหวานทั้งหมด โดยคิดเป็นร้อยละ 90–95 ของผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลก อุบัติการณ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงประเทศไทย ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องคือภาวะอ้วน การบริโภคอาหารพลังงานสูง และการขาดการออกกำลังกาย พบมากในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี แต่ปัจจุบันเริ่มพบในวัยหนุ่มสาวมากขึ้น
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
- กรรมพันธุ์: ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวานมีความเสี่ยงสูง
- ภาวะอ้วน (โดยเฉพาะรอบเอว): ไขมันส่วนเกินทำให้เซลล์ดื้อต่ออินซูลิน
- ขาดการออกกำลังกาย: ลดความไวของเซลล์ต่ออินซูลิน
- อายุที่มากขึ้น: การทำงานของตับอ่อนลดลงตามวัย
- ภาวะดื้อต่ออินซูลิน: พบได้ในผู้ที่มีภาวะ metabolic syndrome
- ภาวะเครียดเรื้อรัง: ทำให้ระดับคอร์ติซอลและกลูโคสในเลือดสูงขึ้น
- การใช้ยาบางชนิด: เช่น สเตียรอยด์ หรือยาขับปัสสาวะบางประเภท
อาการ
ในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยมักไม่มีอาการชัดเจน แต่สามารถพบอาการคลาสสิกของโรคเบาหวาน ได้แก่
- ปัสสาวะบ่อยและมาก โดยเฉพาะตอนกลางคืน
- กระหายน้ำบ่อย ดื่มน้ำมาก
- หิวบ่อย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- แผลหายช้า หรือมีการติดเชื้อง่าย
- สายตาพร่ามัว
- ในรายเรื้อรังอาจมีอาการชาตามปลายมือปลายเท้า (neuropathy)
การวินิจฉัย
ใช้การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นหลัก และอาจรวมถึงการทดสอบความทนต่อกลูโคส (OGTT) หรือการตรวจ HbA1c เพื่อประเมินระดับน้ำตาลเฉลี่ยในระยะยาว
- ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร ≥ 126 mg/dL (7.0 mmol/L)
- ระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคส (OGTT 2 ชม.) ≥ 200 mg/dL (11.1 mmol/L)
- ค่า HbA1c ≥ 6.5%
- หรือ ระดับน้ำตาลในเลือดแบบสุ่ม ≥ 200 mg/dL ร่วมกับอาการคลาสสิกของเบาหวาน
การวินิจฉัยแยกโรคของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
| โรคหรือภาวะ |
ลักษณะสำคัญ |
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ |
| Diabetes Mellitus Type 2 |
ภาวะดื้อต่ออินซูลิน พบในผู้ใหญ่หรือผู้มีภาวะอ้วน |
น้ำตาลในเลือดสูง, C-peptide ปกติหรือสูง |
| Diabetes Mellitus Type 1 |
ขาดอินซูลินโดยสิ้นเชิงจากการทำลายเซลล์เบต้าโดยภูมิคุ้มกัน |
น้ำตาลในเลือดสูง, C-peptide ต่ำ, พบ autoantibodies |
| Secondary diabetes |
เกิดจากโรคอื่น เช่น Cushing’s syndrome หรือการใช้สเตียรอยด์ |
ระดับคอร์ติซอลสูง หรือมีประวัติใช้ยา |
| Stress-induced hyperglycemia |
น้ำตาลในเลือดสูงชั่วคราวจากภาวะเครียดรุนแรง |
น้ำตาลสูงชั่วคราว, HbA1c ปกติ |
การรักษา
เป้าหมายของการรักษาคือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดภาวะแทรกซ้อน และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
- การปรับพฤติกรรม: ลดอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดน้ำหนัก และหยุดสูบบุหรี่
- การใช้ยา:
- Metformin — เพิ่มความไวของร่างกายต่ออินซูลิน (ยาหลักอันดับแรก)
- SGLT2 inhibitors — ช่วยขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ
- GLP-1 agonists — กระตุ้นการหลั่งอินซูลินและลดความอยากอาหาร
- Sulfonylureas — กระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน
- Insulin — ใช้ในผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ด้วยยาเม็ด
- การติดตาม: ตรวจระดับ HbA1c ทุก 3–6 เดือน, ตรวจตา ไต และเท้าเป็นประจำ
พยากรณ์โรค
ผู้ป่วยที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีจะสามารถดำเนินชีวิตได้ปกติ แต่หากควบคุมไม่ดีจะเกิดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตเรื้อรัง เบาหวานขึ้นตา และปลายประสาทเสื่อม ซึ่งส่งผลให้คุณภาพชีวิตลดลงและอายุสั้นลงได้
การป้องกัน
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
- เลือกรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ไขมันต่ำ และลดน้ำตาล
- ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน
สรุป
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นภาวะเรื้อรังที่เกิดจากการดื้อต่ออินซูลินและการหลั่งอินซูลินไม่เพียงพอ พบมากในผู้ที่มีภาวะอ้วนและขาดการออกกำลังกาย การวินิจฉัยอาศัยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดและ HbA1c การรักษาประกอบด้วยการปรับพฤติกรรมและการใช้ยา หากควบคุมได้ดีสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนและมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพได้