กลุ่มอาการเซลลาว่างเปล่า (Empty sella syndrome, ESS)

กลุ่มอาการเซลลาว่างเปล่า หรือ ESS เป็นภาวะที่ตรวจพบว่าบริเวณ “sella turcica” ซึ่งเป็นโพรงกระดูกบริเวณฐานสมองที่บรรจุต่อมใต้สมอง (pituitary gland) มีลักษณะดู “ว่างเปล่า” หรือมีเนื้อเยื่อของต่อมใต้สมองแบนลงไปจากแรงดันของน้ำไขสันหลัง ทำให้ดูเหมือนไม่มีต่อมใต้สมองอยู่ในโพรงนั้นเมื่อดูจากภาพถ่าย MRI หรือ CT scan

ภาวะนี้พบได้ประมาณ 6–20% ของการตรวจ MRI สมองโดยบังเอิญ และพบมากในเพศหญิงวัยกลางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือมีภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง

ชนิดของกลุ่มอาการเซลลาว่างเปล่า

  1. Primary empty sella (ชนิดปฐมภูมิ) – เกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน มักสัมพันธ์กับเยื่อหุ้มสมองชั้นใต้แมงมุม (arachnoid membrane) ที่ยื่นเข้ามาในโพรง sella ทำให้น้ำไขสันหลังดันต่อมใต้สมองแบนลง
  2. Secondary empty sella (ชนิดทุติยภูมิ) – เกิดจากโรคหรือการรักษาที่ส่งผลให้ต่อมใต้สมองฝ่อ เช่น เนื้องอกต่อมใต้สมอง การผ่าตัด รังสีรักษา การอักเสบ หรือการขาดเลือดไปเลี้ยง

ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง

  • เพศหญิง โดยเฉพาะวัยกลางคน
  • โรคอ้วนหรือภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง (idiopathic intracranial hypertension)
  • ประวัติการตั้งครรภ์หลายครั้ง
  • โรคเนื้องอกต่อมใต้สมองหรือการผ่าตัด/รังสีรักษาบริเวณนั้น
  • การบาดเจ็บที่ศีรษะหรือการอักเสบของสมอง

อาการและอาการแสดง

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ของกลุ่มอาการเซลลาว่างเปล่า ไม่มีอาการ และมักตรวจพบโดยบังเอิญจากภาพถ่าย MRI สมองที่ทำเพื่อตรวจโรคอื่น อย่างไรก็ตาม บางรายอาจมีอาการได้ดังนี้:

  1. ปวดศีรษะเรื้อรังหรือเวียนศีรษะ
  2. การมองเห็นผิดปกติ เช่น เห็นภาพซ้อน มัว หรือมุมมองแคบลง (bitemporal hemianopia)
  3. ความผิดปกติของฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง เช่น
    • ประจำเดือนขาด หรือน้ำนมไหลโดยไม่ตั้งครรภ์
    • อ่อนเพลีย น้ำหนักเพิ่ม หรือภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์
    • ภาวะขาดฮอร์โมนเพศในชาย
    • ภาวะต่อมหมวกไตล้มเหลวทุติยภูมิ (secondary adrenal insufficiency)


การวินิจฉัย

การวินิจฉัยภาวะนี้อาศัยการตรวจภาพสมองร่วมกับการประเมินระดับฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองเพื่อดูการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ

การตรวจที่ใช้ในการวินิจฉัย

  • MRI สมอง – เป็นการตรวจที่แม่นยำที่สุด พบโพรง sella turcica ขยายและมีน้ำไขสันหลังเข้าไปแทนที่ เนื้อเยื่อต่อมใต้สมองแบนราบชิดผนัง
  • CT Scan – อาจใช้ในกรณีไม่สามารถทำ MRI ได้
  • การตรวจเลือดทางฮอร์โมน – เช่น cortisol, ACTH, TSH, LH, FSH, prolactin, GH เพื่อประเมินภาวะพร่องหรือเกินของฮอร์โมน

การวินิจฉัยแยกโรค

โรคที่ต้องแยกจาก ESS ลักษณะเฉพาะ การตรวจยืนยัน
เนื้องอกต่อมใต้สมอง (Pituitary adenoma) มีก้อนเนื้อใน sella ทำให้ต่อมโต ไม่ใช่แบน MRI พบ mass lesion มีการกดเบียด optic chiasm
ภาวะหลังผ่าตัดหรือฉายรังสีต่อมใต้สมอง ประวัติการรักษาที่บริเวณ sella ตรวจพบรอยแผลหรือพังผืดจากรังสี
ภาวะเนื้อตายของต่อมใต้สมอง (Sheehan’s syndrome) เกิดหลังคลอดจากการเสียเลือดมาก ประวัติการคลอด, ตรวจฮอร์โมนบ่งบอก hypopituitarism
ภาวะความดันในกะโหลกสูง (Idiopathic intracranial hypertension) ปวดศีรษะ เห็นภาพซ้อน พบ ESS ร่วมได้ ตรวจ MRI และวัดความดันน้ำไขสันหลัง

การรักษา

การรักษาขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยมีอาการหรือไม่ และมีภาวะพร่องฮอร์โมนหรือไม่

  1. ถ้าไม่มีอาการและการทำงานของต่อมใต้สมองปกติ ไม่จำเป็นต้องรักษาเฉพาะ เพียงติดตามเป็นระยะ
  2. ถ้ามีภาวะพร่องฮอร์โมน ควรให้ ฮอร์โมนทดแทน ตามชนิดที่ขาด เช่น
    • Hydrocortisone หรือ Prednisone สำหรับภาวะขาด ACTH
    • Levothyroxine สำหรับภาวะขาด TSH
    • ฮอร์โมนเพศ (Estrogen/Testosterone) ในรายที่มีภาวะขาดฮอร์โมนเพศ
  3. ในรายที่มีอาการปวดศีรษะหรือเห็นภาพผิดปกติ อาจใช้ยาแก้ปวดและส่งปรึกษาจักษุแพทย์
  4. หากเกิดจากภาวะความดันในกะโหลกสูง ควรลดน้ำหนักและใช้ยา acetazolamide


พยากรณ์โรค

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีพยากรณ์โรคที่ดี โดยเฉพาะในชนิดปฐมภูมิที่ไม่มีอาการหรือความผิดปกติของฮอร์โมน ส่วนผู้ที่มีภาวะพร่องฮอร์โมนสามารถควบคุมอาการได้ด้วยการให้ฮอร์โมนทดแทนอย่างเหมาะสม ภาวะแทรกซ้อนระยะยาวพบได้น้อยมาก

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันเฉพาะสำหรับกลุ่มอาการเซลลาว่างเปล่า แต่สามารถลดความเสี่ยงได้โดยการควบคุมน้ำหนักตัว ป้องกันภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง และดูแลภาวะหลังผ่าตัดหรือรังสีรักษาบริเวณสมองอย่างเหมาะสม

สรุป

กลุ่มอาการเซลลาว่างเปล่า (Empty Sella Syndrome) เป็นภาวะที่พบว่าต่อมใต้สมองแบนหรือหายไปบางส่วนในโพรง sella turcica มักพบโดยบังเอิญและไม่ก่ออันตรายร้ายแรงในผู้ป่วยส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ในบางรายอาจเกิดความผิดปกติของฮอร์โมนได้ การวินิจฉัยที่ถูกต้องและการติดตามสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้