โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)

โรคความดันโลหิตสูง คือ ภาวะที่ระดับความดันโลหิตสูงเกิน 130/80 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไปแบบเรื้อรัง โดยไม่เกิดจากสาเหตุชั่วคราว เช่น เครียด อดนอน เจ็บป่วยเฉียบพลัน เวียนศีรษะ โรคหืด โรคทางสมอง ต่อมไร้ท่อ ไต เอออร์ตาตีบ (Aortic coarctation) หรือผลข้างเคียงจากยา เช่น ยาคุมกำเนิด ยาสเตียรอยด์ ยากระตุ้นประสาท เป็นต้น หากเกิดจากสาเหตุเหล่านี้ เมื่อแก้ไขต้นเหตุแล้วความดันโลหิตจะกลับสู่ปกติ

ความดันโลหิตสูงที่ไม่ทราบสาเหตุเป็นชนิดที่พบบ่อย โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ซึ่งมีวิถีชีวิตเร่งรีบ ความหนาแน่นของผู้คนสูง การไม่ออกกำลังกาย และการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ อายุที่เพิ่มขึ้น น้ำหนักตัวมาก เพศชาย และพันธุกรรมก็เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดโรคได้ง่ายขึ้น ภาวะนี้จัดเป็นโรคเรื้อรังที่ค่อย ๆ ทำลายอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ ไต ดวงตา และหลอดเลือดแขนขา ยาลดความดันโลหิตช่วยลดความเสี่ยงของเส้นเลือดแตก และชะลอการเสื่อมของอวัยวะ แต่หากควบคุมไม่ได้ หัวใจจะทำงานหนักจนโตขึ้น นำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว และหลอดเลือดที่แข็งและตีบจะแจกจ่ายเลือดได้น้อยลง ทำให้เกิดภาวะขาดเลือดในอวัยวะต่าง ๆ

เกณฑ์ใหม่ของโรคความดันโลหิตสูง

ในปี 2560 สมาคมแพทย์สหรัฐอเมริกา (ACC, AHA, ASA ฯลฯ) ได้กำหนดเกณฑ์ใหม่เพื่อให้ประชาชนตระหนักและเริ่มปรับพฤติกรรมหรือใช้ยาเร็วขึ้น โดยค่าความดันปกติคือ ค่าบน ต่ำกว่า 120 มิลลิเมตรปรอท และ ค่าล่าง ต่ำกว่า 80 มิลลิเมตรปรอท เมื่อวัดในสภาวะผ่อนคลาย เช่น วัดที่บ้าน (Home blood pressure monitoring) ดังนั้น หากได้ค่า 125/79, 119/83 หรือแม้แต่ 120/80 ก็ถือว่ามีภาวะความดันโลหิตสูง

ผู้ที่มีค่าบน 120-129 และค่าล่างไม่เกิน 80 มิลลิเมตรปรอท จัดเป็นภาวะเริ่มต้น Elevated blood pressure แม้ยังไม่จำเป็นต้องใช้ยา แต่ควรปรับพฤติกรรม เช่น พักผ่อนวันละ 8–10 ชั่วโมง ลดอาหารเค็ม มัน หวาน เพิ่มผักผลไม้ เลิกบุหรี่ งดแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนัก ดูแลสุขภาพจิต และสร้างทัศนคติเชิงบวก

แพทย์มักเริ่มให้ยาลดความดันเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 2 โดยเป้าหมายคือควบคุมให้ต่ำกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท หากมีเบาหวานหรือโรคหลอดเลือดตีบตัน แพทย์อาจเริ่มให้ยาตั้งแต่ระยะที่ 1 และควบคุมให้ต่ำกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท

อาการของโรค

ระยะแรกมักไม่มีอาการ โดยเฉพาะเมื่อค่าบนยังอยู่ระหว่าง 120–140 มิลลิเมตรปรอท แต่ตามการแพทย์แผนจีน มี 3 กลุ่มอาการที่สัมพันธ์กับความผิดปกติของพลังภายใน ได้แก่

  1. กลุ่มอาการหยาง (Fire syndrome) เช่น ร้อนใน วิงเวียน มึนศีรษะ ใบหน้าร้อน เหงื่อออก ตาแดง ปากขม กระหายน้ำ หงุดหงิด
  2. กลุ่มอาการไหลเวียนติดขัด (Phlegm-fluid retention syndrome) มักพบในคนอ้วน มีอาการแน่นอก วิงเวียน คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ง่วงนอน ขาบวม
  3. กลุ่มอาการขาดพลัง (Deficiency syndrome) เช่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ปวดเอว มีเสียงดังในหู เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

เมื่อโรครุนแรงขึ้น อาการจะเด่นชัด เช่น วิงเวียนศีรษะ แน่นอก เหนื่อยง่าย เลือดกำเดาไหล



การวินิจฉัยโรค

หากความดันสูงเกิน 130/90 มิลลิเมตรปรอทซ้ำ ๆ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุรอง เช่น โรคไต โรคต่อมไร้ท่อ ความผิดปกติของหลอดเลือดใหญ่ และโรคพันธุกรรมบางชนิด หากไม่พบสาเหตุจึงวินิจฉัยว่าเป็น “ความดันโลหิตสูงที่หาสาเหตุไม่ได้” และเข้าสู่การประเมินความรุนแรงและความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

การประเมินความรุนแรงของโรค (Target organ damage, TOD)

แพทย์จะตรวจเพื่อดูว่าความดันทำลายอวัยวะใดไปแล้ว เช่น เอกซเรย์ทรวงอก ตรวจเลือดดูการทำงานของไต, ความเข้มข้นของเลือด, ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง ตรวจปัสสาวะ ตรวจจอประสาทตา ตรวจความแรงของชีพจรแขนขา ประเมินภาวะอ้วนลงพุง และสอบถามอาการอัมพฤกษ์-อัมพาต

อวัยวะเป้าหมายภาวะแทรกซ้อน/อาการ
หัวใจหัวใจโต เหนื่อยง่าย
หัวใจเต้นผิดจังหวะ ใจสั่น
หัวใจล้มเหลว หายใจลำบาก ขาบวม
ไตไตเสื่อม/วายเรื้อรัง มีโปรตีนในปัสสาวะ ครีเอตินีนสูง บวม ซีด คันตามตัว
สมองเส้นเลือดสมองตีบ/แตก/ตัน ปากเบี้ยว อัมพาตครึ่งซีก ภาวะสมองเสื่อม
ตาจอประสาทตาเสื่อม ตามัว
หลอดเลือดแขนขาหลอดเลือดตีบแข็ง แขนขาเย็น เขียวคล้ำ ปวด คลำชีพจรไม่ได้

การประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

ใช้ปัจจัยเสี่ยงทั้งหมดเพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงเสียชีวิตใน 10 ปี เหมาะสำหรับผู้ที่อายุเกิน 40 ปีทุกคน แม้ไม่มีโรคความดันโลหิตสูง โดยควรควบคุมให้อยู่ในระดับความเสี่ยง “สีเขียว” หรืออย่างน้อย “สีเหลือง”



การรักษา

การรักษาที่ได้ผลดีที่สุดคือการปรับพฤติกรรม เช่น

  1. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    BMI 18.5–22.9 หรือรอบเอว < 90 ซม. (ชาย) และ < 80 ซม. (หญิง)
  2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
    ระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ โยคะ ไทเก็ก
  3. รับประทานอาหารแบบ DASH
    ผัก 5 ส่วน ผลไม้ 4 ส่วน นม 2–3 แก้ว ธัญพืช 7 ทัพพี โปรตีนไม่เกิน 170 กรัม/วัน
  4. จำกัดโซเดียม
    ไม่เกิน 2,300 มก./วัน (เกลือ 1 ช้อนชา ≈ 2,000 มก. โซเดียม)
  5. งดหรือลดแอลกอฮอล์
  6. เลิกบุหรี่

หากความดันยังสูงหรือมีภาวะแทรกซ้อนแล้ว จำเป็นต้องใช้ ยาลดความดันโลหิต ควบคู่กับการปรับพฤติกรรม ซึ่งแพทย์จะเลือกยาที่เหมาะสมเป็นรายบุคคล

พยากรณ์โรค

หากควบคุมความดันได้ดี จะลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตเสื่อม และตาบอดได้มาก ผู้ที่ปรับพฤติกรรมอย่างต่อเนื่องร่วมกับการใช้ยาตามคำแนะนำแพทย์ สามารถมีคุณภาพชีวิตใกล้เคียงปกติ แต่หากควบคุมไม่ได้ มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

การป้องกัน

  • ตรวจวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่อายุเกิน 35 ปี
  • รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม มัน หวาน
  • ลดความเครียด พักผ่อนเพียงพอ
  • งดบุหรี่และแอลกอฮอล์

สรุป

โรคความดันโลหิตสูงเป็นภาวะเรื้อรังที่คุกคามสุขภาพอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีอาการชัดเจนในระยะแรก หากปล่อยไว้จะทำลายหัวใจ สมอง ไต ดวงตา และหลอดเลือด การตรวจวัดความดันเป็นประจำ การปรับพฤติกรรมสุขภาพ และการรักษาด้วยยาตามคำแนะนำแพทย์คือหัวใจสำคัญในการควบคุมโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนระยะยาว