โครเมียม (Chromium, Cr)

โครเมียมเป็นโลหะที่มีความมันวาว ตีขึ้นรูปเป็นแผ่นได้ดี มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูง อีกทั้งยังนำไฟฟ้าได้ดี จึงนิยมใช้เคลือบผิวโลหะเพื่อป้องกันการผุกร่อนและเพิ่มความสวยงาม

สารประกอบของโครเมียมแบ่งตามวาเลนต์ (จำนวนอิเล็กตรอนที่ใช้สร้างพันธะ) ได้ 6 กลุ่ม ได้แก่:

  1. โลหะโครเมียม (Cr0, Cr(0))
  2. โมโนวาเลนต์ (Cr+, Cr(I))
  3. ไดวาเลนต์ (Cr2+, Cr(II))
  4. ไตรวาเลนต์ (Cr3+, Cr(III))
  5. เต็ตตราวาเลนต์ (Cr4+, Cr(IV))
  6. เฮกซะวาเลนต์ (Cr6+, Cr(VI))

โครเมียมในธรรมชาติส่วนใหญ่อยู่ในรูปของไตรวาเลนต์ (Cr3+) ซึ่งเป็นรูปแบบที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น chromic nitrate, chromic acetate, chromic oxide, chromic sulfate, chromic chloride และแร่ chromite (FeOCr2O3) ร่างกายต้องการไตรวาเลนต์โครเมียมเพียง 30 ไมโครกรัมต่อวัน

อย่างไรก็ตาม ไตรวาเลนต์โครเมียมหากโดนความร้อนในสภาพด่างจะเปลี่ยนเป็นเฮกซะวาเลนต์โครเมียม ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง เช่น chromic acid, sodium dichromate, potassium chromate, lead chromate และสารอื่น ๆ ที่ถูกควบคุมการใช้งานอย่างเข้มงวดในอุตสาหกรรม

บทบาทของโครเมียมในร่างกาย

ไตรวาเลนต์โครเมียมมีบทบาทในการเพิ่มประสิทธิภาพของอินซูลิน โดยมีสมมติฐานว่าอินซูลินรีเซพเตอร์อาจมีตัวรับสำหรับ chromodulin-chromium ซึ่งเป็นโปรตีนพาโครเมียม (ประกอบด้วยกรดอะมิโน aspartate, cysteine, glutamate, glycine และโครเมียมตรงกลาง) ที่ช่วยให้กลูโคสเข้าสู่เซลล์ได้ดีขึ้น การเสริมโครเมียมจึงช่วยลดระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานได้บางราย

โครเมียมยังช่วยในการสังเคราะห์กรดไขมันและโคเลสเตอรอล เปลี่ยนไขมันไม่ดีให้เป็นไขมันดี (HDL) ปัจจุบันมีการผลิตโครเมียมในรูปแบบอาหารเสริม เช่น chromium picolinate และ chromium polynicotinate สำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือ HDL ต่ำจากยา beta-blocker อย่างไรก็ตาม การศึกษาพบว่ายังไม่มีประโยชน์เด่นชัดในคนทั่วไป[5]

แหล่งอาหารที่มีไตรวาเลนต์โครเมียมสูง

โครเมียมที่มีประโยชน์ทางชีวภาพคือตัวที่อยู่ในรูปไตรวาเลนต์ ซึ่งพบได้ในธัญพืช ถั่ว หอย ตับ เห็ด ไข่ ผักผลไม้บางชนิด ดาร์กช็อกโกแลต บริเวอร์ยีสต์ และกากน้ำตาลโมลาส

ร่างกายดูดซึมโครเมียมได้เพียง 0.4–2.5% เท่านั้น และการดูดซึมจะดีขึ้นเมื่อรับประทานร่วมกับ วิตามินซี, วิตามิน B3 และยา NSAIDs การดูดซึมจะลดลงในผู้ที่ใช้ยาลดกรด

โครเมียมอาจแย่งจับกับ transferrin ซึ่งเป็นโปรตีนขนส่งธาตุเหล็ก ทำให้ลดการดูดซึมเหล็ก และในทางกลับกัน เหล็กที่มากเกินอาจขัดขวางการดูดซึมโครเมียม

โครเมียมที่ดูดซึมแล้วจะสะสมในตับ ม้าม กระดูก และเนื้อเยื่อทั่วไป ภาวะที่เพิ่มการขับโครเมียมทางปัสสาวะ เช่น การกินอาหารหวาน การออกกำลังกายใหม่ ๆ ภาวะเครียด การตั้งครรภ์ และให้นมบุตร

แม้โครเมียมเป็นธาตุสำคัญ แต่ยังมีข้อมูลทางโภชนาการไม่มาก โดยเฉพาะในอาหารเอเชีย อีกทั้งยังไม่มีเกณฑ์ชัดเจนสำหรับการวินิจฉัยภาวะขาดหรือมีพิษจากโครเมียม

ภาวะขาดโครเมียม

อาการของภาวะขาดโครเมียมจะคล้ายผู้ป่วยเบาหวาน เช่น อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ชาตามปลายมือปลายเท้า ไขมันในเลือดสูง แต่ HDL ลดลง เด็กอาจเจริญเติบโตช้าลง ลักษณะเฉพาะคือมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังอาหาร (impaired glucose tolerance)

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีน้ำตาลสูงหลังอาหารไม่ได้หมายความว่าขาดโครเมียมเสมอไป อาจเกิดจากภาวะดื้ออินซูลิน โรคอ้วน หรือการบริโภคน้ำตาลสูง การเสริมไตรวาเลนต์โครเมียมในช่วงสั้น ๆ อาจช่วยได้ในผู้ที่ขาดจริง

การศึกษาระยะยาวแบบควบคุมพบว่า การเสริมโครเมียมไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานหรือระดับน้ำตาลในกลุ่มเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ[4, 5]

พิษของโครเมียม

ยังไม่มีรายงานการเกิดพิษจากการรับประทานไตรวาเลนต์โครเมียมในปริมาณปกติ การฉีดในขนาดสูงอาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง ส่วนในรูปแบบอาหารเสริม (ไม่เกิน 1000 ไมโครกรัม/วัน) ยังถือว่าปลอดภัย ยกเว้นในผู้ป่วยไตหรือตับที่อาจมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน

เฮกซะวาเลนต์โครเมียม (CrO3) ซึ่งพบในอุตสาหกรรม เป็นพิษรุนแรง หากสัมผัสจะทำให้แสบผิวหนัง หายใจลำบาก หากรับประทานอาจปวดท้อง อาเจียน และเมื่อได้รับในปริมาณมากหรือเรื้อรังอาจทำให้โพรงจมูกทะลุ กระเพาะทะลุ หรือเป็นมะเร็งปอด

สรุป

  • โครเมียมเป็นแร่ธาตุสำคัญในรูปไตรวาเลนต์ (Cr3+) ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และการเผาผลาญไขมัน
  • พบได้ในธัญพืช ถั่ว หอย ผัก และอาหารธรรมชาติทั่วไป โดยร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อย
  • การเสริมโครเมียมอาจมีประโยชน์ในผู้ที่ขาดจริง แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าช่วยลดความเสี่ยงโรคในประชากรทั่วไป
  • รูปแบบที่อันตรายคือเฮกซะวาเลนต์โครเมียม ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งและควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด

บรรณานุกรม

  1. "Chromium." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (15 มีนาคม 2563).
  2. "Nutrition Requirements." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (30 มกราคม 2563).
  3. "Thai RDI." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
  4. "Chromium." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Oregon State University. (15 มีนาคม 2563).
  5. "Chromium." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา NIH. (15 มีนาคม 2563).
  6. "chromium." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา whfoods.org. (15 มีนาคม 2563).
  7. "- Elements - 37: CHROMIUM." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา apjcn.nhri.org.tw. (18 มีนาคม 2563).
  8. "Chromium." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (15 มีนาคม 2563).
  9. Laura Shane-McWhorter. 2018. "Chromium." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual. (15 มีนาคม 2563).
  10. Larry E. Johnson. 2018. "Chromium." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual. (15 มีนาคม 2563).
  11. "โครเมียม." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา th.wikipedia.org. (15 มีนาคม 2563).
  12. Yinan Hua, et al. 2012. "Molecular Mechanisms of Chromium in Alleviating Insulin Resistance." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา J Nutr Biochem. 2012;23(4):313–319. (15 มีนาคม 2563).
  13. William T. Cefalu & Frank B. Hu. 2004. "Role of Chromium in Human Health and in Diabetes." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Diabetes Care 2004 Nov; 27(11): 2741-2751. (15 มีนาคม 2563).
  14. "โครเมียม (Chromium)." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Greenclinic. (19 มีนาคม 2563).