โมลิบดีนัม (Molybdenum, Mo)

โมลิบดีนัมเป็นธาตุโลหะที่มีมวลมากและจุดหลอมเหลวสูงถึง 2,623°C จึงนิยมใช้ในการผลิตโลหะผสม (อัลลอย) เพื่อเพิ่มความแข็งแรง

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าในอดีตโลกมีปริมาณโมลิบดีนัมในดินและทะเลมากกว่าปัจจุบัน โมลิบดีนัมมีบทบาทสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตระดับต่ำ เช่น พืชและแบคทีเรีย พืชใช้โมลิบดีนัมในกระบวนการตรึงไนโตรเจน ขณะที่แบคทีเรียใช้เปลี่ยนก๊าซไนโตรเจนให้อยู่ในรูปที่สิ่งมีชีวิตสามารถใช้งานได้ การลดลงของโมลิบดีนัมในมหาสมุทรอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตในน้ำลดจำนวนลงในอดีต

หน่วยวัดปริมาณโมลิบดีนัม

ในอาหาร วัดเป็นไมโครกรัม (mcg) ในน้ำวัดเป็นไมโครกรัมต่อลิตร (mcg/L) และในเลือดวัดเป็นนาโนกรัมต่อมิลลิลิตร (ng/mL)

บทบาทของโมลิบดีนัมในร่างกาย

โมลิบดีนัมเป็นส่วนประกอบของ Molybdopterin ซึ่งเป็นปัจจัยร่วมสำคัญของเอนไซม์และโปรตีน 4 ชนิด ได้แก่:

  1. Sulfite oxidase: เปลี่ยน sulfite เป็น sulfate เพื่อนำไปสร้างกรดอะมิโน methionine และ cysteine
  2. Xanthine oxidase: สลายนิวคลีโอไทด์เป็นกรดยูริก ซึ่งมีบทบาทเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในเลือด
  3. Aldehyde oxidase: ร่วมกับ Xanthine oxidase ในการทำลายสารพิษและยาต่าง ๆ
  4. mARC (mitochondrial amidoxime reducing component): ช่วยไมโตคอนเดรียในการผลิตพลังงาน

โมลิบดีนัมจึงมีบทบาทในการสร้างกรดอะมิโน การต้านอนุมูลอิสระ การกำจัดสารพิษ และการผลิตพลังงานในระดับเซลล์

แหล่งอาหารที่มีโมลิบดีนัมสูง

โมลิบดีนัมพบมากในพืช โดยเฉพาะในถั่ว ธัญพืช และผลไม้บางชนิด เช่น กล้วย ส่วนเนื้อสัตว์จะพบมากในตับ กรมอนามัยแนะนำให้บริโภคเพียง 45 ไมโครกรัมต่อวัน

ร่างกายดูดซึมโมลิบดีนัมจากอาหารได้ 40–100% โดยจะถูกนำไปสร้างเป็น Molybdopterin และสะสมในตับ ไต ต่อมหมวกไต และกระดูก ส่วนเกินจะขับออกทางปัสสาวะภายในประมาณ 5 วัน

ระดับโมลิบดีนัมในเลือด (serum) ปกติอยู่ที่ 0.3–2.0 ng/mL ในเลือดทั้งตัว (whole blood) อาจสูงถึง 0.6–4.0 ng/mL และในปัสสาวะเฉลี่ยประมาณ 69 ng/mL อย่างไรก็ตาม ระดับเหล่านี้ไม่สามารถใช้วินิจฉัยภาวะขาดหรือพิษของโมลิบดีนัมได้โดยตรง

ภาวะขาดโมลิบดีนัม

ภาวะขาดโมลิบดีนัมพบได้น้อยมาก โดยพบใน 2 ลักษณะ:

  1. จากพันธุกรรม: ผู้ป่วยไม่สามารถสร้าง Molybdopterin ได้ ส่งผลให้เอนไซม์ที่ใช้โมลิบดีนัมทำงานไม่ได้ ทำให้มีสาร sulfite, hypoxanthine, xanthine คั่งในเลือด แต่กรดยูริกและซัลเฟตต่ำมาก เด็กแรกเกิดจะมีอาการชักไม่หยุด เลนส์ตาขุ่น พัฒนาการล่าช้า และมักเสียชีวิตในเวลาสั้น
  2. จากการขาดสารอาหาร: พบในผู้ป่วย Crohn’s disease รายหนึ่งที่ได้รับอาหารทางหลอดเลือดซึ่งไม่มีโมลิบดีนัม ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็ว ปวดศีรษะ ตาบอดกลางคืน และโคม่า แต่เมื่อได้รับโมลิบดีนัมกลับคืน อาการก็ฟื้นกลับเป็นปกติ [4]

โมลิบดีนัมในอาหารเสริมมีหลายรูปแบบ เช่น ammonium molybdate, sodium molybdate, molybdenum chloride, molybdenum glycinate และแบบที่จับกับกรดอะมิโน อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้รับประทานเองเนื่องจากมีความเสี่ยงต่อพิษ

พิษของโมลิบดีนัม

การได้รับโมลิบดีนัมมากเกินไปอาจทำให้ระดับกรดยูริกและ ceruloplasmin ในเลือดสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการคล้ายโรคเกาต์ เช่น ปวดข้อเฉียบพลัน รวมถึงอาการปวดท้อง ตับอักเสบ ไตเสื่อม และอาจรุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะทางจิต เช่น คลุ้มคลั่ง ประสาทหลอน ชัก และสูญเสียความสามารถในการเรียนรู้

เคยมีรายงานในกลุ่มคนงานเหมืองแร่ และผู้ที่รับประทานอาหารเสริมโมลิบดีนัมมากกว่า 300 mcg/วัน การวินิจฉัยพิษอาศัยจากประวัติและอาการ โดยระดับโมลิบดีนัมในเลือดที่เกิน 1.2 ng/mL อาจใช้เป็นข้อมูลสนับสนุน

ในสัตว์ทดลองพบว่าทองแดงสามารถลดพิษของโมลิบดีนัมได้ เนื่องจากโมลิบดีนัมยับยั้งการดูดซึมทองแดงและเพิ่มการขับออก อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันประสิทธิภาพในมนุษย์ และยังไม่มีการรักษาที่จำเพาะ

ในทางกลับกัน โมลิบดีนัมยังถูกใช้ในรูปของ tetrathiomolybdate เพื่อช่วยจับทองแดงและขับออกจากร่างกายในผู้ป่วยโรค Wilson ซึ่งเป็นโรคพิษจากทองแดง

ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างโมลิบดีนัมและทองแดงในร่างกาย ซึ่งยังคงต้องการการศึกษาต่อไป

สรุป

โมลิบดีนัมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นในปริมาณน้อย แต่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการสร้างกรดอะมิโน ต้านอนุมูลอิสระ กำจัดสารพิษ และผลิตพลังงาน แม้จะพบภาวะขาดได้ยาก แต่การได้รับมากเกินไป โดยเฉพาะจากอาหารเสริม อาจก่อให้เกิดพิษต่อร่างกายได้ จึงควรได้รับในปริมาณที่เหมาะสมผ่านอาหารตามธรรมชาติ และหลีกเลี่ยงการเสริมโดยไม่จำเป็น

บรรณานุกรม

  1. "Other trace elements." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (7 เมษายน 2563).
  2. "Nutrition Requirements." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (30 มกราคม 2563).
  3. "Thai RDI." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
  4. "Molybdenum." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Oregon State University. (7 เมษายน 2563).
  5. "Molybdenum." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา NIH. (7 เมษายน 2563).
  6. "molybdenum." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา whfoods.org. (7 เมษายน 2563).
  7. "- Elements - 41: MOLYBDENUM." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา apjcn.nhri.org.tw. (7 เมษายน 2563).
  8. "Molybdenum." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (7 เมษายน 2563).
  9. "Molybdenum." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา ClinLab Navigator. (9 เมษายน 2563).
  10. Larry E. Johnson. 2018. "Molybdenum." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual. (7 เมษายน 2563).
  11. "Molybdenum - Mo." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา LENNTECH (7 เมษายน 2563).
  12. Traci Pedersen. 2018. "Facts About Molybdenum." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Live Science. (8 เมษายน 2563).