วิตามินอี (α-Tocopherol)

วิตามินอี คือกลุ่มของสารประกอบที่มีคุณสมบัติละลายในไขมันและมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ tocopherols และ tocotrienols ซึ่งในแต่ละกลุ่มมี 4 ชนิด ได้แก่ α-, β-, γ-, และ δ- โดย tocopherols มีหาง phytil แบบอิ่มตัว ส่วน tocotrienols มีหาง phytil แบบไม่อิ่มตัว ทั้งหมดนี้ได้จากพืชธรรมชาติ

หน่วยวัดปริมาณวิตามินอี

ในร่างกายมนุษย์ ร้อยละ 90 ของวิตามินอีคือ α-tocopherol จึงใช้หน่วยวัดเป็น mg α-TE (milligrams of α-tocopherol equivalent) ส่วนในรูปเม็ดยา มักใช้หน่วย IU โดยมีการเทียบหน่วยดังนี้:

1 IU ของวิตามินอีจากอาหารธรรมชาติ = 0.67 mg α-TE
1 IU ของวิตามินอีสังเคราะห์ = 0.45 mg α-TE
1 mg α-TE = วิตามินอีจากอาหาร 1.49 IU = วิตามินอีสังเคราะห์ 2.22 IU

บทบาทของวิตามินอี

วิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน สามารถฝังตัวอยู่ในเยื่อหุ้มเซลล์และทำหน้าที่ป้องกันเซลล์ไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ โดยการให้ประจุบวก (H+) แก่อนุมูลอิสระต่าง ๆ ที่เกิดจากการเผาผลาญภายในเซลล์

การสะสมของอนุมูลอิสระจำนวนมากจะก่อให้เกิดภาวะ oxidative stress ทำให้เซลล์เสื่อมและตายเร็ว ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังต่าง ๆ และความชรา วิตามินอีที่ใช้ไปแล้วสามารถฟื้นคืนฤทธิ์ได้โดยรับไฮโดรเจนจากวิตามินซีหรือกระบวนการอื่นในร่างกาย

นอกจากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระแล้ว วิตามินอียังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ส่งเสริมการสื่อสารระหว่างเซลล์ การแสดงออกของยีน และช่วยให้ผนังหลอดเลือดหลั่งสาร prostacyclin ที่ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ลดการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด จึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

แหล่งของวิตามินอีในธรรมชาติ

แหล่งอาหารที่อุดมด้วยวิตามินอีคือ อาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน เช่น น้ำมันพืช ถั่ว เมล็ดทานตะวัน อะโวคาโด ปลาทะเล และกุ้ง ผักผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ ปวยเล้ง ผักโขม บร็อคโคลี่ ผักกาดเขียว คะน้า แอสพารากัส กีวี มะม่วง และผลไม้ตระกูลเบอรี่ เนื้อสัตว์ที่เลี้ยงด้วยอาหารผสมวิตามินอีก็มีปริมาณสูงเช่นกัน

วิตามินอีในอาหารจะลดลงเมื่อเก็บไว้นาน เช่น แป้งสาลีที่เก็บไว้ 1 ปีจะสูญเสียวิตามินอีไปราวหนึ่งในสาม น้ำมันมะกอกที่เปิดฝาทิ้งไว้วิตามินอีจะหายหมดใน 3-4 เดือน และการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนสูงนานกว่า 3 ชั่วโมงก็ทำให้วิตามินอีหายไปครึ่งหนึ่ง

ร่างกายต้องการวิตามินอีวันละ 10 mg α-TE ถึงแม้บริโภคไม่ถึงก็ไม่ค่อยขาด เพราะร่างกายสามารถรีไซเคิลวิตามินอีกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อได้รับวิตามินซีเพียงพอ

ภาวะขาดวิตามินอี

ภาวะขาดวิตามินอีพบน้อยมาก ส่วนใหญ่พบในผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมไขมัน เช่น โรค Crohn, Cystic fibrosis หรือ abetalipoproteinemia ส่งผลให้ร่างกายดูดซึมวิตามิน A, E และ K ไม่ได้ ผู้ป่วยจะมีภาวะโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก (hemolytic anemia), ตามัว, ภูมิคุ้มกันลดลง, อาการทางระบบประสาท เช่น เดินเซ แขนขาชา หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง

ค่าปกติของระดับ α-Tocopherol ในเลือดคือ 5.5–17 mg/L หากต่ำกว่า 4 mg/L โดยมีอาการร่วมกัน เช่น เดินเซ ตามัว ปัสสาวะสีชา สามารถวินิจฉัยว่าเป็นภาวะขาดวิตามินอี และควรให้วิตามินเอ อี และเค เสริมร่วมกัน

พิษของวิตามินอี

แม้ไม่พบพิษจากวิตามินอีในอาหารธรรมชาติ แต่การรับประทานเม็ดยาในขนาดสูงอาจมีผลเสีย โดยเฉพาะเมื่อเกิน 1000 IU/วัน เพราะอาจรบกวนการดูดซึมวิตามิน A และ K และมีปฏิกิริยากับยาหลายชนิด เช่น Aspirin, Warfarin, statins, PPI, Tamoxifen และ Cyclosporine ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะเลือดออก

ในปี ค.ศ. 2004 มหาวิทยาลัย Johns Hopkins ได้ตีพิมพ์งานวิจัย meta-analysis ที่พบว่า การรับประทานวิตามินอีเสริมขนาดเกิน 400 IU/วัน อาจเพิ่มอัตราการเสียชีวิตจากโรคต่าง ๆ [3] ซึ่งส่งผลให้ความนิยมการใช้วิตามินอีเสริมลดลงอย่างมากในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 [4]

สรุป

วิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพเซลล์ หลอดเลือด และระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายสามารถรีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่ได้โดยมีวิตามินซีช่วยสนับสนุน การขาดวิตามินอีมักเกิดจากปัญหาการดูดซึมไขมัน ไม่ใช่จากการบริโภคไม่เพียงพอ ขณะที่การรับประทานเสริมในขนาดสูงเป็นเวลานานอาจมีผลข้างเคียงได้ การบริโภคอาหารสดตามธรรมชาติที่หลากหลายจึงเพียงพอต่อความต้องการและปลอดภัยที่สุด

บรรณานุกรม

  1. "Vitamin E." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (10 มีนาคม 2563).
  2. "Nutrition Requirements." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (30 มกราคม 2563).
  3. Miller ER, et al. 2005. "Meta-analysis: high-dosage vitamin E supplementation may increase all-cause mortality." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Ann Intern Med. 2005 Jan 4;142(1):37-46. Epub 2004 Nov 10. (31 มกราคม 2563).
  4. "Vitamin E." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (31 มกราคม 2563).
  5. "Unit Conversions." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา USDA. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
  6. "Thai RDI." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
  7. Daisy Whitbread. 2019. "Top 10 Foods Highest in Vitamin E." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MYFOODDATA. (31 มกราคม 2563).
  8. Natalie Butler. 2019. "10 foods rich in vitamin E." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Medical News Today. (2 กุมภาพันธ์ 2563).
  9. Atli Arnarson. 2017. "20 Foods That Are High in Vitamin E." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Healthline. (2 กุมภาพันธ์ 2563).
  10. William W. Christie. 2020. "Isoprenoids: 1. Tocopherols and Tocotrienols (Vitamin E)." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Healthline. (16 กุมภาพันธ์ 2563).
  11. T.H. Chan. "Vitamin E." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Harvard University. (16 กุมภาพันธ์ 2563).
  12. "Vitamin E." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา NIH. (16 กุมภาพันธ์ 2563).
  13. "Vitamin E." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา whfoods.org. (16 กุมภาพันธ์ 2563).
  14. "What are the symptoms of low vitamin E?" [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MedicalNewsToday. (17 กุมภาพันธ์ 2563).