กำมะถัน (Sulfur, Sulphur, S)

กำมะถัน หรือ ซัลเฟอร์ เป็นธาตุอโลหะในกลุ่ม chalcogen มีเลขอะตอม 16 และน้ำหนักโมเลกุล 32.06 ดัลตัน (1 ดัลตัน = 1.66053904 × 10-18 ไมโครกรัม) ในร่างกายมนุษย์พบกำมะถันคิดเป็น 0.25% ของน้ำหนักตัว ถือเป็นธาตุที่มีมากเป็นอันดับ 8 ในร่างกาย

ในธรรมชาติ กำมะถันมีลักษณะเป็นของแข็งสีเหลือง ไม่ละลายในน้ำ แต่ละลายในเบนซีนและโทลูอีน มนุษย์รู้จักกำมะถันมานานกว่า 3,000 ปี ชื่อ “Sulfur” มาจากภาษาสันสกฤต “Shulbari” (แปลว่า ศัตรูของทองแดง) และภาษาอาหรับ “Sufra” (แปลว่า สีเหลือง) เพราะกำมะถันสามารถทำปฏิกิริยากับทองแดงจนกลายเป็นสารประกอบ copper sulfide สีดำ ซึ่งทำให้ทองแดงสูญเสียคุณสมบัติเดิม

กำมะถันสามารถทำปฏิกิริยากับธาตุอื่นได้ง่าย เมื่อถูกเผาจะให้เปลวไฟสีฟ้าและก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ซึ่งเป็นพิษและมีกลิ่นฉุน สมัยก่อนใช้ก๊าซนี้รมฆ่าเชื้อในอาคาร และยังเป็นส่วนประกอบสำคัญในสูตรดินปืนที่คนจีนค้นพบในปี ค.ศ. 808

ในอาหาร กำมะถันพบในรูปของสาร Methylsulfonylmethane (MSM) ในนม ผัก ผลไม้ ข้าวโพด กาแฟ และชา หรือในรูป Allicin เช่น ในกระเทียม ในร่างกายมนุษย์ กำมะถันเป็นองค์ประกอบของกรดอะมิโน cysteine, methionine และสารต้านอนุมูลอิสระ glutathione

MSM ดูดซึมได้ดีภายใน 1 ชั่วโมง และขับออกภายใน 1-2 วัน ส่วน Allicin จะสลายตัวอย่างรวดเร็วเมื่อถูกย่อย และถูกขับออกจากร่างกายภายใน 4 ชั่วโมง

บทบาทของกำมะถันในร่างกาย

กำมะถันถูกขนานนามว่า “Beauty mineral” เนื่องจากมีบทบาทสำคัญต่อเล็บ ผม และผิวหนัง ช่วยให้ผมเงางาม ผิวเปล่งปลั่ง และสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นโครงสร้างของข้อต่อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน

กำมะถันยังเกี่ยวข้องกับการสร้างเอนไซม์อินซูลิน และเป็นองค์ประกอบของ glutathione ที่ช่วยตับในการขจัดสารพิษ (โดยเฉพาะในขั้นตอนที่ 2) ร่วมทำงานกับวิตามิน B1, B5, ไบโอติน และกรดไลโนเลอิคในการเผาผลาญอาหาร กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ และช่วยรักษาสมดุลภายในร่างกาย

อย่างไรก็ตาม สารประกอบกำมะถันในรูปก๊าซ เช่น H2S, CS2 และ SO2 เป็นพิษและอาจก่อให้เกิดปัญหาทางเดินหายใจ

แหล่งอาหารที่มีกำมะถันสูง

ร่างกายไม่สามารถสร้างกำมะถันได้เอง จึงต้องได้รับจากอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีโปรตีน เช่น เนื้อไม่ติดมัน กุ้ง หอย ปู ปลา ไข่ นม ถั่ว เครื่องในสัตว์ และพืชอย่างกระเทียม หัวหอม กะหล่ำปลี ผักโขม ถั่วงอก เห็ด ลูกพีช และแอปริคอต

แม้ยังไม่มีการกำหนดปริมาณกำมะถันที่ควรบริโภคต่อวันอย่างเป็นทางการ แต่แนะนำให้รับประทานกรดอะมิโนที่มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบ (methionine, cysteine, taurine) ประมาณ 14 มก./กก. น้ำหนักตัวต่อวัน

ปัจจุบันมีการพิจารณากำหนดค่าที่เหมาะสมสำหรับกำมะถันโดยตรง ซึ่งน่าจะไม่ต่ำกว่า 750 มก./วัน [13] โดยเฉพาะจากแหล่ง MSM ซึ่งพบได้ทั้งในพืชและสัตว์

ภาวะขาดกำมะถัน

ในพืช หากขาดกำมะถันจะมีใบเหลือง มีจุดสีม่วงหรือน้ำตาล ต้นไม่โต ผลผลิตน้อย ส่วนในคนอาจพบสิว ผื่นคัน แผลหายช้า ผมร่วง เล็บเปราะ ปวดข้อ อ่อนเพลีย น้ำหนักขึ้น ท้องอืด และอาจมีอาการทางระบบประสาท เช่น ซึมเศร้า หลงลืม หรือชัก

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า คนที่อยู่ในแนวภูเขาไฟ เช่น ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไอซ์แลนด์ และฟินแลนด์ มีอัตราการเกิดโรคเรื้อรังต่ำ เพราะบริโภคอาหารที่มีแร่ธาตุกำมะถันสูงจากพืชและสัตว์ที่เติบโตในดินภูเขาไฟ

พิษของกำมะถัน

การรับประทานกำมะถันในอาหารหรืออาหารเสริม MSM ขนาด 1.5–6 กรัม/วัน เป็นเวลาหลายเดือนยังไม่พบพิษที่มีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การได้รับกำมะถันในรูปสารประกอบอนินทรีย์ อาจก่อให้เกิดอาการปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ ปวดประจำเดือน กลั้นปัสสาวะไม่ได้ และทำให้ระดับโพแทสเซียมและแคลเซียมในเลือดต่ำลง

สรุป

  • กำมะถันเป็นแร่ธาตุสำคัญที่มีบทบาทต่อความงามและสุขภาพของผิว ผม เล็บ ข้อต่อ และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
  • ร่างกายต้องได้รับกำมะถันจากอาหาร โดยเฉพาะจากโปรตีนและพืชที่มีสาร MSM หรือ Allicin
  • แม้ยังไม่มีค่าคำแนะนำรายวันอย่างเป็นทางการ แต่ควรได้รับอย่างเพียงพอจากอาหารครบหมู่
  • ภาวะขาดกำมะถันอาจส่งผลทั้งด้านผิวหนัง ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบประสาท
  • พิษของกำมะถันพบได้น้อยมากจากอาหารเสริมทั่วไป ยกเว้นกรณีได้รับสารประกอบอนินทรีย์หรือจากแหล่งปนเปื้อน

บรรณานุกรม

  1. Cyrus Edson. 1889. "Disinfection of Dwellings by Means of Sulphur Dioxide." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Public Health Pap Rep., 1889, 15: p65-68. (11 มีนาคม 2563).
  2. "Garlic and Organosulfur Compounds." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Oregon State University. (12 มีนาคม 2563).
  3. "Sulfur." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (12 มีนาคม 2563).
  4. Andra Picincu. 2019. "List of Foods High in Sulfur." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา LIVESTRONG. (12 มีนาคม 2563).
  5. "- Elements - 31: SULPHUR." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา apjcn.nhri.org.tw. (12 มีนาคม 2563).
  6. "Sulphur and the Human Body." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา The Sulphur Institute. (12 มีนาคม 2563).
  7. Susan Hewlings & Douglas Kalman. 2019. "Sulfur in Human Health." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา EC Nutrition. (13 มีนาคม 2563).
  8. "The 12 Best Food Sources of Sulfur." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Dr. Jockers. (12 มีนาคม 2563).
  9. Sankalan Baidya. 2018. "95 Sulfur Facts if You Need Them for School Homework." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Facts Legend. (11 มีนาคม 2563).
  10. "กำมะถันหรือซัลเฟอร์." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Greenclinic. (12 มีนาคม 2563).
  11. Leo Teeboom. "Lack of Sulfur in the Body." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา LIVESTRONG. (13 มีนาคม 2563).
  12. Husnain Riaz. 2017. "Sulphur Deficiency And Toxicity Symptoms in Human Body." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา SlideShare. (13 มีนาคม 2563).
  13. "Lack of Sulfur in the Body - What To Do If You Have a Sulfer Deficiency?." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Organic Sulfur for Health. (13 มีนาคม 2563).