วิตามินซี (Ascorbic acid, Asc)
วิตามินซี หรือกรดแอสคอร์บิก เมื่ออยู่ในรูปที่ละลายน้ำจะเรียกว่า “แอสคอร์เบต” (ascorbate) หากนำกรดแอสคอร์บิก 5 กรัมมาละลายในน้ำ 100 มิลลิลิตร จะได้สารละลายที่มีค่าความเป็นกรด (pH) เท่ากับ 2.4 [16] ซึ่งจัดว่าเป็นกรดค่อนข้างแรงเมื่อเทียบกับกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะอาหารที่มี pH ประมาณ 1.0
มนุษย์เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมไม่กี่ชนิดที่ไม่สามารถสร้างวิตามินซีได้เอง [11] จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหาร โชคดีที่วิตามินซีพบมากในผักและผลไม้หลากหลายชนิด
จากหลักฐานทางการแพทย์ในปัจจุบันพบว่า วิตามินซีในรูปแบบเม็ดยา **ไม่ได้ช่วยป้องกันโรคหวัด**[12] และหากต้องการลดระยะเวลาการป่วยจากหวัดได้จริง จะต้องรับประทานเป็นประจำในขนาดสูงถึง 800 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม วิตามินซีในขนาด ≥1,000 มิลลิกรัมต่อวัน อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไตถึง 2 เท่า [13]
การดูดซึมวิตามินซีต้องอาศัยตัวพา sodium vitamin C cotransporter (SVCT) ผ่านระบบ sodium-potassium ATPase โดย วิตามินซีจะดูดซึมได้ดีที่สุดเมื่อรับประทานครั้งละน้อย ๆ พบว่าในขนาดต่ำกว่า 200 มิลลิกรัม จะดูดซึมได้เกิน 100%, ขนาด 500 มิลลิกรัมดูดซึมได้ 73%, และขนาด 1,250 มิลลิกรัมดูดซึมได้เพียง 49% ส่วนที่เหลือจะถูกขับออกทางไต
วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายน้ำ แต่สามารถสะสมในร่างกายได้ เช่นเดียวกับวิตามิน B12 โดยจะสะสมอยู่ในเม็ดเลือดขาว ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต เลนส์ตา ตับ สมอง ตับอ่อน ม้าม ไต และปอด ระดับในเลือดจะต่ำเมื่อเทียบกับอวัยวะต่าง ๆ เหล่านี้ และยังสามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้อีกด้วย
หน่วยวัดปริมาณวิตามินซี
ใช้หน่วยเป็นมิลลิกรัม (mg) โดยร่างกายต้องการวิตามินซีประมาณ 60-90 มิลลิกรัมต่อวัน
บทบาทของวิตามินซี
วิตามินซีมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถทำลายอนุมูลอิสระที่ละลายในน้ำ และยังช่วยฟื้นฟูฤทธิ์ของวิตามินอี ซึ่งทำลายอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน
วิตามินซียังมีบทบาทสำคัญในการสร้าง คอลลาเจน (จำเป็นต่อการซ่อมแซมผิวหนัง หลอดเลือด กระดูกอ่อน และกระดูก), คาร์นิทีน (พากรดไขมันเข้าสู่ไมโตคอนเดรียเพื่อใช้เป็นพลังงาน), และ แคทีโคลามีน (เป็นฮอร์โมนและสารสื่อประสาทที่ช่วยควบคุมความดัน การเต้นของหัวใจ และระดับน้ำตาลในเลือดในภาวะเครียด)
นอกจากนี้ วิตามินซียังช่วยการดูดซึมธาตุเหล็ก กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว และควบคุมการทำงานของยีนที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
แหล่งของวิตามินซีในธรรมชาติ
กระทรวงสาธารณสุขของไทยแนะนำให้บริโภควิตามินซีวันละ 60 มิลลิกรัม ในขณะที่หลายประเทศแนะนำ 75-90 มิลลิกรัม ผู้ที่ควรได้รับมากขึ้น ได้แก่ ผู้สูบบุหรี่ หญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร
แหล่งของวิตามินซีที่ดีคือผักและผลไม้สดเกือบทุกชนิด เช่น ใบโหระพา พริกหวาน เผือก มันเทศ มะเขือเทศ มะนาว ฯลฯ วิตามินซีส่วนเกินจากเม็ดยาจะถูกขับออกทางไตในรูปของ oxalate ซึ่งอาจจับกับแคลเซียมกลายเป็น calcium oxalate และกลายเป็นนิ่วในไตได้
วิตามินซีสลายตัวได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับความร้อน แสง ออกซิเจน เอนไซม์ และแร่ธาตุบางชนิด เช่น ผลไม้ที่วางทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องนาน 6 วัน จะสูญเสียวิตามินซีถึง 80% การต้มจะทำลายวิตามินซีใน 15 นาที และแม้ในรูปเม็ดยา ฤทธิ์ของวิตามินซีก็ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พุทราสด 1 ผล อาจมีวิตามินซีมากกว่ายาเม็ดที่ผลิตมาแล้ว 3 เดือน
อย่างไรก็ตาม ร่างกายสามารถสะสมวิตามินซีไว้ใช้ได้นาน 4-6 เดือน จึงไม่จำเป็นต้องได้รับทุกวัน
ภาวะขาดวิตามินซี
การได้รับวิตามินซีน้อยกว่า 10 มิลลิกรัมต่อวันเป็นเวลาหลายสัปดาห์ อาจนำไปสู่โรคลักปิดลักเปิด (Scurvy) [6] โดยจะมีอาการอ่อนเพลีย ซึมเศร้า ปวดเมื่อย ซีด เหงือกอ่อน ฟันโยก หลอดเลือดฝอยเปราะ มีเลือดออกง่าย ผิวหยาบ ผมหยิก แผลหายช้า เป็นต้น
ในเด็กที่ยังโตไม่เต็มวัย อาจพบลักษณะผิดปกติของกระดูกในเอกซเรย์ เช่น cortex บาง, รูปแบบ ground-glass, white line of Fraenkel ที่ metaphysis, compressed epiphysis, การซ่อมของ subperiosteal hemorrhages มักพบที่ปลายกระดูกยาว เช่นบริเวณเข่า
การวินิจฉัยใช้จากอาการร่วมกับประวัติ เช่น การไม่บริโภคผักผลไม้ หรือสูบบุหรี่ การตรวจแล็บไม่จำเป็น แต่ถ้าทำได้ อาจส่งตรวจ:
- ระดับกรดแอสคอร์บิกในซีรั่ม (หลังอดอาหาร 8 ชม.): >0.6 mg/dL = ปกติ, <0.2 mg/dL (<11 μmol/L) = ขาด
- ระดับในเม็ดเลือดขาว: >15 mg/dL = ปกติ, <8 mg/dL = ขาด
การรักษาคือให้วิตามินซี 100 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 2 สัปดาห์ อาการจะดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ แล้วจึงควรเปลี่ยนมาใช้ผักผลไม้แทน
พิษของวิตามินซี
ไม่มีรายงานว่าการรับประทานวิตามินซีจากอาหารจะทำให้เกิดพิษ อย่างไรก็ตาม หากรับประทานวิตามินซีในรูปเม็ดเสริมเกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน อาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ปวดท้อง แสบท้อง คลื่นไส้ ท้องเสีย และบางรายเกิดนิ่วในไต
สรุป
วิตามินซีเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ และมีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจน คาร์นิทีน และฮอร์โมน หากได้รับจากอาหารในปริมาณเหมาะสมจะเพียงพอโดยไม่จำเป็นต้องเสริมในรูปเม็ด แม้ร่างกายจะขาดวิตามินซีได้ยากในยุคปัจจุบัน แต่การบริโภคผักผลไม้สดอย่างสม่ำเสมอยังคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพระยะยาว
บรรณานุกรม
- "Vitamin C (ascorbic acid)." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (10 มีนาคม 2563).
- "Nutrition Requirements." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (30 มกราคม 2563).
- "Unit Conversions." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา USDA. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Thai RDI." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Vitamin C." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Oregon State University. (6 กุมภาพันธ์ 2563).
- "Vitamin C." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา NIH. (6 กุมภาพันธ์ 2563).
- "vitamin C." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา whfoods.org. (7 มีนาคม 2563).
- "Vitamin C." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (7 มีนาคม 2563).
- "9.3 Vitamin C." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Nutrition Flexbook. (7 มีนาคม 2563).
- Daisy Whitbread. 2019. "Top 10 Foods Highest in Vitamin C." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MYFOODDATA. (7 มีนาคม 2563).
- Stipanuk MH. 2006. "Biochemical, physiological, & molecular aspects of human nutrition." แหล่งที่มา St. Louis, MO: Saunders Elsevier.
- Hemilä H, Chalker E. 2013. "Vitamin C for preventing and treating the common cold
(Review)
." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Cochrane Database Syst Rev. 2013, Issue 1
. (21 พฤศจิกายน 2562).
- Laura D. K. Thomas, et al. 2013. "Ascorbic Acid Supplements and Kidney Stone Incidence Among Men: A Prospective Study." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา JAMA Intern Med. 2013;173(5):386-388. (26 พฤศจิกายน 2562).
- Larry E. Johnson. 2019. "Vitamin C Deficiency." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual. (8 มีนาคม 2563).
- Lynne Goebel. 2017. "Scurvy." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Medscape. (8 มีนาคม 2563).
- "What is the pH of ascorbic acid?" [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Quora. (10 มีนาคม 2563).